ข้อคิดอาทิตย์ที่ 3 เทศกาลปัสกาปีA
ลก24: 13-35…พวกเขาตาสว่างและจำพระองค์ได้เมื่อพระองค์ทรงบิขนมปังและยื่นให้เขา…
เรื่องเล่าที่น่ารักที่สุดเรื่องหนึ่งของพระวรสารน่าจะเป็นเรื่องที่เล่าถึงพระผู้ได้ทรงเสด็จกลับคืนพระชนมชีพซึ่งได้เข้ามาร่วมเดินทางกับศิษย์สองคนที่กำลังมุ่งไปยังหมู่บ้านเอ็มมาอูสพระองค์ได้ทรงอธิบายพระวรสารให้พวกเขาฟังและได้ทรงเผยแสดงพระองค์เองในการบิขนมปัง…เรื่องราวเดียวกันก็ได้เกิดขึ้นสำหรับพวกเราเมื่อเรามาสมโภชพิธีบูชาขอบพระคุณขององค์พระเยซูเจ้า…พระองค์ทรงพูดกับพวกเราในพระคัมภีร์และทรงเลี้ยงดูเราในศีลมหาสนิท
ข้อคิด…เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เอมมาอูสเป็นคำสอนเรื่องพิธีบูชาขอบพระคุณหรือพิธีกรรมแห่งศีลมหาสนิทนั่นก็คือประกอบด้วย“พิธีกรรมแห่งพระวาจา” ที่ตามด้วย“พิธีกรรมแห่งบูชาขอบพระคุณ” ส่วนสำนวน“การบิปัง”เป็นศัพท์เทคนิคที่ใช้กับ“พิธีบูชาขอบพระคุณ”นักบุญลูกาจงใจที่จะใช้ภาษาของพิธีบูชาขอบพระคุณโดยบอกว่า“พระเยซูเจ้าทรงหยิบปังอวยพรบิออกและประทานให้กับพวกเขา”
นักบุญลูกาได้เขียนพระวรสารของท่านหลังจากที่เหตุการณ์แห่งการสิ้นพระชนม์และการเสด็จกลับคืนพระชนมชีพได้ผ่านพ้นไปแล้วประมาณกึ่งศตวรรษและผู้ที่ได้อ่านพระวรสารของท่านก็รู้สึกอิจฉาคนในสมัยของพระเยซูเจ้าที่โชคดีได้แลเห็นพระผู้ได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพแต่ว่าในเรื่องเล่านี้ท่านกลับบอกว่าจริงๆแล้วพวกเขาเหล่านั้นมิได้รู้จักและเชื่อในพระองค์จนกว่าข้อความในพระคัมภีร์จะได้รับการอธิบายและปังจะได้ถูกบิออกแล้วเท่านั้น
บรรดาคริสตชนในสมัยของนักบุญลูกาได้มีวิธีการอันเดียวกันกับในสมัยของพระเยซูเจ้าเองที่จะจำพระองค์ได้ก็คือด้วยการอ่านพระคัมภีร์และการบิปังซึ่งก็ได้รับการสืบสานทำต่อกันมาเรื่อยๆในพิธีบูชาขอบพระคุณอันเป็นส่วนประกอบที่เป็นสาระสำคัญของพิธีบูชาขอบพระคุณในวันต้นสัปดาห์หรือในวันอาทิตย์นั่นเองซึ่งเป็นวันของพระเจ้า
ดังนั้นในเรื่องของการพบปะกับองค์พระเยซูเจ้าในความเชื่อคริสตชนในอดีตจึงมิได้มีความได้เปรียบกว่าคริสตชนในยุคปัจจุบันนี้เลย
แน่นอนการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้าได้ทำให้ศิษย์สองคนที่กำลังเดินทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูสจมอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจความใฝ่ฝันของพวกเขาเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าว่าจะต้องเป็นพระแมสสิยาห์ที่พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยมานานก็คงจะได้ล่มสลายไปแล้วพระแมสสิยาห์ได้กลายเป็นโจรผู้ร้ายในสายตาของหลายๆคนดังนั้นขณะที่พวกเขากำลังเดินทางอยู่นั้นพลางก็ได้สนทนากันถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์…พระแมสสิยาห์ที่โดนดูถูกสบประมาทและโดนเขาเอาไปตรึงที่ไม้กางเขนนั้นเป็นอะไรที่พวกเข้าไม่เข้าใจและคิดไม่ออกจริงๆ
และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็ได้บังเกิดขึ้นคือพระเยซูเจ้าก็ทรงปรากฎพระองค์มาเดินเป็นเพื่อนสนทนาดูคล้ายๆกับคนแปลกหน้า…บ่อยๆครั้งคนเรามักจะพบว่าการสนทนาพูดคุยกับคนแปลกหน้าเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าด้วยการยิงคำถามที่ซื่อๆง่ายๆและด้วยอากัปกิริยาที่อ่อนโยนก็จะทำให้ต่างฝ่ายต่างสามารถเปิดใจให้แก่กันและกันได้…และขณะที่สานุศิษย์ทั้สองได้เริ่มเล่าเรื่องที่น่าเศร้าที่เพิ่งเกิดขึ้นกับพระอาจารย์ของพวกเขาพระเยซูเจ้าเองก็ตั้งใจฟังอย่างสนพระทัยและด้วยความอดทนเพื่อว่าอะไรต่างๆที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจของพวกเขาจะได้เปิดเผยออกมาให้หมด
สิ่งที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำก็คือทำพระองค์เองให้เป็นเพื่อนร่วมเดินทางกับเขาแบบสบายอกสบายใจและแบบเข้าใจปัญหาซึ่งกันและกันคนเราไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดต่างก็มีความต้องการให้ใครบางคนเป็นเพื่อนร่วมเดินทางในหนทางแห่งชีวิตกับตนและในระหว่างการเดินทางด้วยกันนั้นพระองค์ได้ทรงเปิดหัวใจของพวกเขาให้มีมุมมองใหม่ในการมองเข้าไปในพระคัมภีร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธรรมล้ำลึกแห่งปัสกา…พระองค์ได้ทรงแสดงให้พวกเขาได้แลเห็นว่าบรรดาประกาศกได้กล่าวทำนายว่าพระแมสสิยาห์จะต้องรับทนทุกข์ทรมานและสิ้นพระชนม์อย่างไรและหลังจากนั้นถึงจะเข้าสู่พระเกียรติมงคล…ไม่มีใครสามารถบรรลุถึงเกียรติมงคลนอกจากโดยผ่านทางการเสียสละและการทนทุกข์ยากลำบากดังนั้นการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้ามิใช่เป็นการสิ้นสุดแห่งความใฝ่ฝันของพระองค์และของบรรดาสานุศิษย์แต่เป็นความเป็นจริงแห่งการรอคอย…รอคอยเกียรติมงคลจากการเสด็จกลับคืนพระชนมชีพ
อย่างไรก็ตามศิษย์ทั้งสองก็ไม่ได้เข้าใจอะไรจนกว่าการเดินทางแห่งชีวิตที่มุ่งสู่หมู่บ้านเอมมาอูสจะสิ้นสุดลงแล้วเท่านั้นโดยปรกติแล้วคนเราจะมีชีวิตที่มุ่งไปสู่อนาคตพลางทิ้งอดีตไว้ข้างหลังแต่ว่าในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่เราจะไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับเรา
บ่อยๆครั้งเราต้องรู้สึกขอบคุณพระอาจารย์เจ้าที่ทำให้เราได้มีประสบการณ์แห่งความโศกเศร้าเสียใจแต่ว่าเราก็จะสามารถผ่านพ้นมันไปได้ซึ่งทำให้เราได้เริ่มเข้าใจข่าวดีแห่งการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพขององค์พระเยซูเจ้าว่าการที่พระองค์ได้รับเกียรติมงคลนั้นจำเป็นต้องผ่านทางการรับทนทุกข์ทรมานเสียก่อน
เรามิได้คาดหวังที่จะพบพระเจ้าในความเจ็บปวดแต่เราคาดหวังที่จะพบพระองค์ในความชื่นชมยินดีและนี่เป็นสิ่งที่ศิษย์ทั้งสองแห่งเอมมาอูสได้ค้นพบหลังจากที่ได้นั่งโต๊ะฟังพระวาจาและบิปังกับพระเยซูเจ้าแล้วเท่านั้น
เมื่อศิษย์ทั้งสองออกจากกรุงเยรูซาเล็มเพราะได้สูญเสียความเชื่อศรัทธาในองค์พระอาจารย์แต่ว่าหลังจากที่ได้พบกับพระองค์แล้วพวกเขาก็กลับมีความชื่นชมยินดีและมีกำลังใจขึ้นมาใหม่อีกมากมายก็ได้ทางกลับไปกรุงเยรูซาเล็มยังคงความเป็นศิษย์ของพระองค์อยู่และมีความสัมพันธ์กับศิษย์คนอื่นๆดังเช่นเคย…การพบปะกับพระอาจารย์เจ้าในครั้งนี้ทำให้เขามีพละกำลังมีความกล้าหาญที่จะผูกมัดตัวเองยิ่งขึ้นในการเป็นศิษย์ของพระองค์
เรื่องราวชีวิตของเราแต่ละคนอาจจะดูเหมือนว่าเป็นเหมือนภาพยนต์ซีรีส์ขนาดยาวหรือสั้นก็สุดแล้วแต่ชีวิตของแต่ละคนและอาจจะต้องมีบทสรุปอย่างเศร้าๆตอนจบนั่นก็คือจะต้องจบด้วยความตายพร้อมด้วยความผิดหวังพวกเราคงจะไม่ชอบเรื่องราวของตนเองที่จะต้องจบแบบนั้นแต่เราต้องการให้เรื่องราวชีวิตของเราแต่ละคนจบลงอย่างมีความสุขหรือแบบ“Happy Ending”
พระเยซูเจ้าได้ทรงช่วยให้ศิษย์ทั้งสองได้แบ่งปันเรื่องราวชีวิตของตนกับของพระองค์พระองค์ได้ดึงพวกเขาให้ออกจากเรื่องราวที่เศร้าๆของตัวเองและแล้วนั้นก็ได้ทรงส่องสว่างชีวิตของพวกเขาด้วยเรื่องราวแห่งชีวิตและพระวาจาของพระองค์
การเสด็จกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าได้เปิดกว้างให้กับเรื่องราวส่วนตัวของเราแต่ละคนมิใช่เพียงแต่ให้จบอย่างดีเท่านั้นแต่ยังให้จบแบบได้รับเกียรติมงคลอีกด้วย…คำพูดคำแรกและคำสุดท้ายของเรื่องราวชีวิตของเราแต่ละคนนั้นจะต้องเป็นพระวาจาของพระเจ้าเท่านั้นที่บอกกับพวกเราว่า
“พระคริสตเจ้าจำเป็นต้องทนทรมานเช่นนี้ เพื่อจะเข้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์”
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์