ข้อคิดสมโภชพระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล
วันอาทิตย์ที่34เทศกาลธรรมดา ปี A
มธ 25: 31-46…บุตรแห่งมนุษย์จะประทับเหนือพระบัลลังค์อันรุ่งโรจน์…พระองค์จะทรงแยกบรรดาประชาชาติออกเป็นสองพวก…และจะตรัสกับผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า “เชิญมาเถิดท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา”…
ในวันนี้ พระศาสนจักรทำการสมโภชพระเยซูคริสตเจ้า กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล…เมื่อเราคิดถึงกษัตริย์ เราก็มักจะคิดถึงบุคคลซึ่งปกครองดูแลประชาชนและมีอำนาจเหนือพวกเขา…แต่ว่าพระคริสตเจ้ามิได้เป็นเช่นนั้น พระองค์มิได้เสด็จมาในโลกเพื่อที่จะครองมีอำนาจเหนือพวกเขา แต่เพื่อจะรับใช้มากกว่า ดังนั้นเพื่อจะเป็นการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีของเราที่มีต่อพระองค์ในโอกาสสมโภชนี้ ก็คือการรับใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันตามแบบฉบับของพระองค์
ข้อคิด…ในภาพของการพิพากษาสุดท้ายในพระวรสารของนักบุญมัทธิวในอาทิตย์สุดท้ายของเทศกาลธรรมดาที่พระศาสนจักรนำเสนอให้นั้น เป็นการสมโภชพระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล ซึ่งควรจะต้องเป็นภาพของกษัตริย์และตุลาการที่แสดงความอ่อนโยนตามที่ท่านประกาศกเอเสเคียลในบทอ่านที่หนึ่งได้บรรยายให้เราได้แลเห็นในบทบาทของคนเลี้ยงแกะที่ดีซึ่งในขณะที่กำลังเฝ้าดูแลแกะทุกๆตัวในฝูง ก็ได้แสดงความเอาใจใส่เป็นพิเศษต่อแกะที่อ่อนแอและไม่สบาย นี่เป็นภาพลักษณ์ที่องค์พระคริสตเจ้ามักจะใช้พรรณนาพระบุคคลและภารกิจของพระองค์…เป็นภาพของการรับใช้ “พี่น้องผู้ต่ำต้อย”
คำพูดที่น่าจดจำของคุณแม่เทเรซา ซึ่งได้กล่าวว่า “โรคภัยที่เลวร้ายที่สุดบนโลกใบนี้ในทุกวันนี้ ก็คือความรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการของสังคม และความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือการขาดความรัก สิ่งที่คนยากจนน่าสงสารต้องการมากกว่าอาหาร เสื้อผ้า และที่พักพิงอาศัย ก็คือให้ตัวเองเป็นบุคคลที่สังคมยอมรับ” ดังนั้นพระวาจาของพระคริสตเจ้าจึงเป็นพระวาจาที่บรรดาคริสตชนควรจะต้องจดจำไว้และนำเอาไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ไม่น่าแปลกใจที่ในการพิพากสุดท้ายที่พระเยซูเจ้าจะบอกเราว่า…กษัตริย์จะตรัสแก่ผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายว่า
“จงไปให้พ้น…เพราะว่าเราหิว มิใช่หิวอาหาร แต่ว่าหิวการยิ้มต้อนรับ แต่เจ้ากลับทำเป็นเมินเฉย…เราหิวคำพูดที่ให้กำลังใจ แต่เจ้ากลับด่าว่าเรา
…เรากระหาย มิใช่กระหายน้ำดื่ม แต่ว่ากระหายคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงการยอมรับ แต่เจ้ากลับพูดจาถากถางค่อนแคะเรา…เรากระหายเครื่องหมายแห่งมิตรภาพ แต่เจ้ากลับทำเป็นไม่รู้จักเรา
…เราเป็นคนแปลกหน้า และเจ้าก็ปฏิเสธที่จะยอมทำอะไรให้เรา…เราเป็นเด็กและเจ้าก็ห้ามลูกของเจ้าไม่ให้มาเล่นกับเรา เพราะเสื้อผ้าของเราสกปรก
…เราเปลือยเปล่า มิใช่เพราะเราไม่มีเสื้อผ้าใส่ แต่เป็นเพราะว่าเจ้าไม่เห็นว่าตัวเรามีคุณค่า และเจ้าก็ไม่ยอมหาอะไรมาปกปิดให้เรา เพื่อให้เราได้มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์มากขึ้น
…เราป่วยไม่สบาย มิใช่ป่วยทางร่างกาย แต่เราไม่มีความมั่นใจและเป็นห่วงโน้นห่วงนี่ แต่เจ้าก็ไม่เคยสังเกตและให้ความสนใจ…เรามีบาดแผลจากความผิดพลาดและความผิดหวัง เจ้าก็ไม่ได้ให้กำลังใจเราและช่วยลดความผิดพลาดและความผิดหวังนั้น
…เราถูกจำคุก มิใช่เพราะต้องอยู่หลังลูกกรงเหล็ก แต่เราถูกจำคุกเพราะเป็นโรคประสาท แต่เจ้าได้แสดงความรังเกียจต่อเรา…เราถูกจำคุกเพราะถูกโดดเดี่ยว แต่เจ้าก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน…เราถูกจำคุกเพราะทำผิด และเจ้าสามารถปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระโดยยอมยกโทษให้เรา แต่เจ้าก็ไม่แยแสทำเป็นเฉยๆ
…เราไม่มีบ้านอยู่ มิใช่เพราะต้องการที่อยู่อาศัย แต่เพราะต้องการความรักความอบอุ่นจากเพื่อนบ้าน แต่เจ้ากลับปิดประตูหัวใจของเจ้าและปล่อยให้เราต้องทนอยู่ในความหนาวเหน็บ…เราไม่มีบ้านอยู่ เพราะขาดความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจกันจากเพื่อนบ้าน แต่เจ้ากลับไม่มีความสนใจในตัวเรา…”
แล้วนั้นกษัตริย์จะตรัสกับผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า
…ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซี่อสัตย์…เชิญมาเถิด ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา…
…เพราะว่าเราหิวอยากจะได้รอยยิ้ม ท่านก็ยิ้มให้เรา…เราหิวคำพูดที่ให้กำลังใจ ท่านก็ได้ชมเรา…เราหิวที่จะได้การรู้คุณ ท่านก็ได้กล่าวขอบคุณเรา
…เรากระหายที่จะได้ยินคำพูดที่ยอมรับรู้ ท่านก็ได้สังเกตเห็นและเห็นใจเรา…เรากระหายอยากได้เครื่องหมายแห่งมิตรภาพ ท่านก็ได้จดหมายมาหาเรา
…เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเรา…เมื่อเรามาจากชุมชนที่ไม่ดี ท่านก็หางานให้เราทำ…เมื่อเราด้อยกว่าท่านทางสังคม ท่านก็ให้กำลังใจเรา
…เราเปลือยเปล่าเพราะต้องการการยอมรับ ท่านก็สวมใส่ค่านิยมให้กับเรา…เมื่อเราขาดความมั่นใจในตัวเอง ท่านก็เอาเสื้อผ้าแห่งความมั่นใจมาสวมใส่ให้
…เราเจ็บป่วยด้วยความสงสัยและด้วยความหวั่นวิตก ท่านก็ได้ลดภาระของเราด้วยท่าทีที่เป็นมิตร…เมื่อเรามีบาดแผลแห่งความผิดผลาดและความผิดหวัง ท่านก็ได้รักษาเราด้วยท่าทีที่ให้กำลังใจ…และเมื่อเรารู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ท่านก็ได้ให้ความหวังเราด้วยท่าทีที่อดทน
…เราอยู่ในคุกเพราะถูกโดดเดี่ยว ท่านก็ได้ปลดปล่อยเราด้วยความเป็นมิตร…เมื่อเราถูกจำคุกเพราะรู้สึกผิด ท่านก็ได้ช่วยแก้โซ่ตรวนแห่งความผิดด้วยการยกโทษให้
…เมื่อเราไม่มีบ้านอยู่ เพราะต้องการความอ่อนโยนและความรัก ท่านก็ได้สวมกอดเรา…เราไม่มีบ้านอยู่ เพราะต้องการความเข้าใจซึ่งกันและกัน ท่านก็ยอมฟังเรา…เราไม่มีบ้านอยู่ เพราะต้องการความรักและการยอมรับ ท่านก็ยอมรับเราให้เข้าไปอยู่ในหัวใจของท่าน
…ยังมีสิ่งอื่นๆอีกมากมายที่เราสามารถทำได้ให้กับเพื่อนพี่น้องของเรา เพียงแต่ว่าขอให้เราได้มีจิตสำนึกและเพิ่มความใส่ใจต่อความต้องการของเพื่อนพี่น้องของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่กับเราที่บ้านและที่ทำงาน…เราสามารถให้เวลา…ให้พลังกายใจ…ให้ความรัก…ให้คำพูดที่ดีๆ ฯลฯ แก่พวกเขา
…เราต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่พระเยซูเจ้า พระตุลาการสูงสุดจะทรงเอาการพวกเราในวันพิพากษา ก็คือเรื่องของ…“ความรัก”
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์