ข้อคิดอาทิตย์ที่ 4 เตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B
ลก 1: 26-38…ท่านจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง…ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด…
ในขณะที่การบังเกิดของกุมารน้อยคนหนึ่งกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ ความสนใจของเราก็จะพุ่งเป้าไปที่ผู้เป็นมารดา เนื่องจากเรากำลังจะทำการสมโภชการสมภพของพระคริสตเจ้า จึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดที่เราจะพบว่าพระแม่ได้กลายเป็นจุดสนใจของพระวรสารในวันนี้
ข้อคิด…“พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์”…พระนางมารีย์ทรงมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดในธรรมล้ำลึกแห่งพระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ และก็มีอีกท่านหนึ่งซึ่งได้มีส่วนร่วมในธรรมล้ำลึกนี้กับพระนาง โดยเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์แห่งการช่วยให้รอดพ้นนี้ด้วย นั่นก็คือชายที่ได้หมั้นกับพระนาง “โยเซฟแห่งนาซาเร็ธ”…พระเจ้าได้ทรงนำพาท่านโยเซฟให้เข้าสู่ธรรมล้ำลึกแห่งการเป็นพระมารดาของพระนางมารีย์ซึ่งได้เกิดขึ้นเดชะฤทธิ์อำนาจขององค์พระจิตเจ้าโดยที่พระนางนั้น ยังคงเป็นพรหมจารีอยู่
จากบทอ่านที่หนึ่งของหนังสือซามูแอล ฉบับที่สอง (2 ซมอ7: 1-5. 8ข-12. 14ก. 16) กษัตริย์ดาวิดได้เป็นกษัตริย์ของชนชาวอิสราแอลที่ได้รวมกันเป็นประเทศเดียวกันแล้ว โดยมีกรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวง และพระองค์ได้ทรงตั้งพระทัยไว้ว่าจะสร้างพระวิหารถวายแด่พระเจ้า แต่พระเจ้าทรงมีแผนการณ์ของพระองค์ไว้ก่อนแล้วที่จะสร้างราชวงศ์หนึ่งขึ้นมาสำหรับกษัตริย์ดาวิดซึ่งจะคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ เมื่อกรุงเยรูซาเล็มได้ถูกทำลายลงในปี 587 ก่อนคริสตกาล ก็ดูเหมือนว่าพระสัญญาที่ว่านั้นจะไม่มีวันสำเร็จลงได้ แต่ถึงกระนั้นประชาชนก็ยังมีความหวังอีกอย่างหนึ่งว่าพระแมสสิยาห์จะต้องมาจากตระกูลของกษัตริย์ดาวิด
และจากพระวรสาร (ลก1: 26-38)…เมื่อการเฝ้ารอคอยได้ถึงกำหนด ทูตสวรรค์คาเบรียลได้นำข่าวดีมาแจ้งแก่พระนางมารีย์ซึ่งเป็นคู่หมั้นของโยเซฟในราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด ว่าพระนางจะได้เป็นพระมารดาของพระผู้ไถ่จากถ้อยคำของทูตสวรรค์คาเบรียลนี้ ก็ทำให้หวนรำลึกถึงพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้กระทำกับกษัตริย์ดาวิดว่า “เราจะตั้งเชื้อสายคนหนึ่งของท่านซึ่งเป็นบุตรของท่าน ให้เป็นกษัตริย์ต่อจากท่าน เราจะพิทักษ์รักษาอาณาจักรของเขาให้มั่นคง เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา ราชวงศ์และอาณาจักรของท่านจะมั่นคงอยู่ต่อหน้าเราตลอดไป อำนาจปกครองของท่านจะตั้งมั่นอยู่ตลอดไป” (2 ซมอ 7: 12-14ก)
ส่วนในบทอ่านที่สองนักบุญเปาโลบอกกับพวกเราว่าการประกาศสอนเรื่องพระเยซูคริสตเจ้า เป็นการเปิดเผยธรรมล้ำลึกที่เก็บเป็นควาลับตลอดเวลานานมาแล้ว แต่บัดนี้เปิดเผยให้ปรากฎแล้ว (รม 16: 25-27)
ทุกวันนี้ มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เสาะแสวงหาความสำเร็จและความสุขในชีวิตโดย “การทำอะไรต่างๆตามที่ตัวเองคิดและอยากจะทำ” คนพวกนี้ให้ความสำคัญและความหมายของชีวิตเฉพาะอยู่ที่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่ว่าเราต้องไม่ลืมความจริงที่สำคัญประการหนึ่งว่า “เสรีภาพ ความสุขและความสำเร็จที่เรามนุษย์เสาะแสวงหาและสามารถพบได้ ก็ด้วยการยอมรับและการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองด้วยความกระตือรือร้นและอย่างซื่อสัตย์” ภาระหน้าที่ที่เราอุทิศตัวเราและวันเวลาของเราให้กับมันด้วยใจรักและซื่อสัตย์ ยิ่งยากลำบากมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งจะทำให้เราสูงส่งและมีความสง่างามมากขึ้นเท่านั้น เช่นในกรณีของพระนางมารีย์และนักบุญโยเซฟ และท่านยอห์น แบปติสต์
ในเรื่องนี้แม่พระได้ให้แบบอย่างที่ยิ่งใหญ่แก่เรา พระนางมิได้บอกกับทูตสวรรค์ว่า “เสียใจด้วย เพราะดิฉันมีโครงการของดิฉันอยู่แล้ว ดิฉันต้องการทำสิ่งที่ดิฉันต้องการ” ตรงข้าม พระนางกลับได้กล่าวว่า “มิใช่สิ่งที่ดิฉันต้องการ แต่ว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการต่างหากที่ดิฉันให้ความสำคัญ ขอให้สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการ ได้เป็นไปแก่ดิฉันด้วย”
พระนางมารีย์ได้ถวายแด่พระเจ้า ของขวัญชิ้นที่ดีที่สุดและที่สมบูรณ์แบบที่สุดคือได้ถวายตัวพระนางเองแด่พระเจ้า และพระนางได้ยอมรับพันธกิจที่พระองค์จะได้ทรงมอบให้แก่พระนาง แม้ว่าในขณะนั้นพระนางจะมิได้ทรงเข้าใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพระนาง แต่พระนางก็มีความมั่นใจว่าพระเจ้าจะทรงประทานความช่วยเหลือต่างๆที่พระนางต้องการในการปฏิบัติพันธกิจนั้น
จริงๆแล้ว พระนางมารีย์คงอยากจะบอกว่า“ดิฉันไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะมีความหมายว่าอย่างไร แต่ดิฉันก็มั่นใจว่าสิ่งดีๆจะบังเกิดขึ้น” พระนางมีความเชื่อมั่นอย่างจริงจังในองค์พระเจ้าว่าพระนางยอมรับได้สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นกับพระนาง พลางปล่อยให้อนาคตของพระนางอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าและให้พระองค์เป็นผู้กำหนดโชคชะตาชีวิตของพระนาง
ชีวิตได้วางภาระหน้าที่มากมายไว้บนตัวเราแต่ละคน นอกจากภาระหน้าที่ต่อตัวเราเองแล้ว เราก็ยังมีภาระหน้าที่ต่อคนอื่นและต่อพระเจ้าอีกด้วย อะไรจะเกิดขึ้นกับโลกของเราใบนี้ ถ้าหากว่าเราแต่ละคนคิดถึงแต่ตัวตนเอง ใส่ใจเฉพาะภาระหน้าที่ของตน แสวงหาเฉพาะเสรีภาพ ความสุขและความสำเร็จแต่ของตน โดยไม่สนใจคนอื่นและพระเจ้าเลย?
คนที่ยอมรับภาระหน้าที่เฉกเช่นพระนางมารีย์ อาจจะมิได้พบความสุขและความสำเร็จในสายตาของชาวโลก แต่แน่นอนว่าเขาจะพบความสุขและความสำเร็จในสายพระเนตรของพระเจ้าซึ่งตัวเขาเองจะรู้ดีว่าอะไรที่ดีๆได้เกิดขึ้นกับตัวเขา
พระหรรษทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเรา ก็คือเมื่อเราต้องทำสิ่งที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เราทำเฉกเช่นพระนางมารีย์และนักบุญโยเซฟ และท่านยอห์น แบปติสต์
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์