ข้อคิดอาทิตย์ที่1 เทศกาลมหาพรตปีB
มก1: 12-15…พระเยซูเจ้าหลังจากที่ทรงถูกซาตานประจญ…บรรดาทูตสวรรค์ก็เข้ามาปรนนิบัติรับใช้พระองค์…
เราคริสตชนแต่ละคนต่างก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับการถูกประจญอย่างถ้วนหน้าด้วยกันทุกคนมากบ้างน้อยบ้างก็สุดแล้วแต่…จากพระวรสารในวันนี้เราก็ได้แลเห็นว่าพระเยซูเจ้าเองก็ถูกประจญด้วยเหมือนกันและพระองค์สามารถช่วยเราได้เมื่อถูกประจญดังนั้นให้เราเข้ามาหาพระองค์ด้วยความไว้วางใจพลางวอนขอความช่วยเหลือและพละกำลังจากพระองค์เพื่อว่าเราจะได้สามารถเอาชนะการประจญได้…
ข้อคิด…ในบทอ่านที่หนึ่งจากหนังสือปฐมกาล(ปฐก9: 8-15)…ได้พูดถึงเรื่องของพันธสัญญาในสมัยของพระธรรมเก่าซึ่งจะไปสำเร็จเอาที่ภูเขาซีนัยอันจะเป็นการตระเตรียมหนทางไปสู่พันธสัญญาฉบับใหม่ที่พระเจ้าจะจัดให้สำหรับมนุษยชาติในองค์พระคริสตเจ้าในโอกาสต่อไป
ในพระวรสาร…หลังจากที่พระเยซูเจ้าถูกซาตานประจญแล้วพระองค์ก็ได้ประกาศเทศนาข่าวดีของพระเจ้า“เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้วพระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้วจงกลับใจและเชี่อข่าวดีเถิด”
ส่วนในบทอ่านที่สองจากบทจดหมายของนักบุญเปโตรฉบับที่1(1 ปต3: 18-22) ที่บอกกับเราว่าเช่นเดียวกับโนอาห์เราคริสตชนได้รับการช่วยให้รอดพ้นด้วยการเดินทางผ่านน้ำนั่นก็คือน้ำแห่งศีลล้างบาป…เพราะโดยผ่านทางศีลล้างบาปที่เราคริสตชนได้เข้าสู่ความสัมพันธ์แห่งพันธสัญญากับพระเจ้าทั้งหมายถึงชัยชนะเหนือบาปและความตายที่องค์พระเยซูเจ้าได้มอบให้กับพวกเรา
ในระหว่างการเดินทางแห่งชีวิตของเราแต่ละคนก็มักจะถูกผจญให้ออกนอกทางเดินทั้งจากสิ่งดีและสิ่งไมดี…พระเยซูเจ้าเองก็ทรงถูกผจญเหมือนกัน…“พระจิตเจ้าทรงดลใจให้พระองค์เสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร…ทรงถูกซาตานประจญ”…การถูกประจญด้วยสิ่งดีๆ…สัตว์จำพวกแมลงเมื่อถูกยั่วยวนจากกลิ่นของอะไรที่หอมๆหลายๆครั้งสัตว์เหล่านี้ได้ค้นพบว่าการติดตามกลิ่นที่หอมๆนี้สามารถนำไปสู่การถูกกักขังจองจำหรือที่ร้ายกว่านั้นอาจจะนำไปสู่ความหายนะแห่งความตายก็เป็นไปได้เมื่อไม่สามารถจะต้านทานความยั่วยวนของกลิ่นหอมของสิ่งเหล่านี้ได้แล้วพวกมันก็จะบินหรือคลานเข้าไปหากลิ่นที่ยั่วยวนนั้นเพื่อที่จะเข้าไปให้ถึงเกสรดอกไม้นั้นเสร็จแล้วก็กลับออกมาไม่ได้
การประจญโดยทั่วๆไปจะหมายถึงการชักชวนหรือการยั่วยุให้คนใดคนหนึ่งทำสิ่งผิดเมื่อเราคิดถึงการประจญทันทีเราก็มักจะคิดถึงสิ่งไม่ดีหรือสิ่งร้ายๆอย่างไรก็ตามมิใช่เฉพาะสิ่งเลวร้ายเท่านั้นที่สามารถชักจูงให้เราหลงผิดสิ่งดีๆก็สามารถชักจูงเราให้ทำผิดได้เหมือนกันและอย่างมีประสิทธิภาพด้วยโดยข้อเท็จจริงแล้วการประจญทั้งหลายทั้งปวงมักจะมาในรูปแบบของการหลอกล่อของสิ่งดีๆและพลังของการประจญก็มักจะเป็นสัดส่วนกับความยั่วยวนของเป้าหมายนั้นด้วยการได้ลิ้มชิมรสทรัพยากรหรืออาหารของโลกนี้มักจะทำให้ทรัพยากรหรืออาหารแห่งสวรรค์จืดชืดไม่มีรสชาดทั้งยังจะทำให้เราติดพันอยู่กับทรัพยากรหรืออาหารของโลกนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้นดังที่เราแต่ละคนคงเคยมีประสบการณ์กันมาแล้ว
ณโอกาสหนึ่งที่พระเยซูเจ้าเชื้อเชิญชายหนุ่มที่ร่ำรวยคนหนึ่งให้มาเป็นศิษย์ของพระองค์แต่เขาก็ได้ปฏิเสธคำเชื้อเชิญนั้นนั่นมิใช่เป็นความไม่ดีหรือเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ได้ทำให้เขาปฏิเสธคำเชื้อเชิญนั้นชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิดเพราะทรัพย์สมบัติในตัวของมันเองก็เป็นสิ่งที่ดีเพียงแต่ขอให้เราได้รู้จักใช้มันสำหรับรับใช้พระเจ้าและเพี่อนพี่น้องของเรา
และเมื่อพระเยซูเจ้าได้ไปที่บ้านของมาร์ธาและมารีย์ก็รู้สึกว่ามาร์ธาจะมีธุระยุ่งมากเกินที่จะมีเวลาไปฟังพระวาจาของพระองค์นี่มิใช่เป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ดีซึ่งทำให้เธอไม่สามารถฟังพระวาจาของพระเยซูเจ้าได้แน่นอนมันเป็นสิ่งที่ดีน่าชมเชยที่เธอทำการต้อนรับองค์พระอาจารย์อย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
พระเยซูเจ้าได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับผู้ได้รับเชิญที่ได้ปฏิเสธคำเชื้อเชิญให้มาในงานเลี้ยงในการปฏิเสธนั้นคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ให้คำตอบที่ไม่ดีแต่อย่างใดแต่กลับเป็นการปฏิเสธที่น่ารับฟังเช่นคนหนึ่งต้องไปดูที่ดินซึ่งเขาได้ซื้อไว้อีกคนหนึ่งก็บอกว่าตัวเองต้องไปทดลองใช้งานวัวซึ่งได้ซื้อไว้ส่วนอีกคนหนึ่งก็บอกว่าตนเพิ่งแต่งงานฯลฯสรุปแล้วก็คือว่าเป็นที่น่าเสียดายที่พวกเขายอมเสียโอกาสที่จะเข้าไปในงานเลี้ยงที่พระเจ้าได้เชื้อเชิญไว้
เช่นเดียวกันในเรื่องอุปมาของผู้หว่านที่บางเมล็ดพันธุ์ได้ตกลงในกอหนาม…“หนาม” ในที่นี้ก็น่าจะหมายถึงความห่วงใยความสลวนในเรื่องของโลกและความเย้ายวนของทรัพย์สมบัติซึ่งในตัวของมันเองก็อาจไม่ใช่สิ่งเลวร้ายแต่อย่างใด
เราจะสามารถสรุปอะไรได้บ้างจากตัวอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น?…การประจญที่เกิดจากสิ่งไม่ดีหรือสิ่งดีก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวด้วยกันทั้งนั้นแน่นอนเวลาที่เราแลเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ชั่วร้ายเราก็มักจะถอยห่างออกจากมันอยู่แล้วไม่เหมือนกับสิ่งดีสิ่งงามซึ่งในตัวของมันเองสามารถดึงดูดความสนใจของเรามนุษย์อยู่แล้วแต่บางครั้งมันก็เป็นสิ่งอันตรายเหมือนกับที่มีนักประพันธ์ท่านหนึ่งได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า“ถ้าเราติดปีกของนกด้วยทองคำมันก็จะบินไม่ได้” เช่นเดียวกันถ้าเรายังผูกพันติดอยู่กับทรัพย์สินเงินทองของโลกนี้จิตวิญญาณของเราก็ยังคงไม่สามารถบินขึ้นไปหาพระเจ้าและบินเข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์ได้
สิ่งที่ล่อลวงเราให้ละทิ้งเป้าหมายของเรานั้นก็มิใช่เป็นสิ่งที่เลวร้ายเสมอไปบ่อยๆมันเป็นสิ่งดีมากกว่าอีกซึ่งทำให้เป็นเรื่องที่ยากที่จะต่อต้านมันอยู่…“เอาไม่อยู่”
บ่อยๆมารปีศาจตัวการประจญจะปรากฎตัวว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจมีเสน่ห์ยั่วยวนชวนให้คบหาสมาคมด้วยทั้งชอบนำเสนอสิ่งที่เราชอบเราอยาก…เช่นเดียวกับในกรณีของพระเยซูเจ้าที่มารร้ายเสนอ“ขนมปัง” และ“อาณาจักรทั้งหมดของโลก” อันเป็นตัวแทนของทรัพย์สินเงินทองที่เรามนุษย์ต่างก็มีความต้องการ…ดังนั้นเราจึงต้องการปรีชาญาณและพละกำลังจากพระเจ้าเพื่อจะสามารถต่อต้านและเอาชนะการประจญต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งการประจญที่มาหาเราในคราบของ“สิ่งดีเทียมหรือสิ่งดีไม่ดีจริง”
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์