ข้อคิดอาทิตย์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา ปี B
มก6: 1-6…ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำเนิดท่ามกลางวงศ์ญาติและในบ้านของตน…พระเยซูเจ้าทรงแปลกพระทัยที่เขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อ…
เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปเมืองนาซาเร็ธถิ่นที่อยู่ที่พระองค์ทรงเจริญวัยกลับกลายเป็นโอกาสที่เลวร้ายสำหรับพระองค์เพราะว่าชาวเมืองนาซาเร็ธไม่ต้อนรับพระองค์อันจะทำใหพวกเขากลับกลายเป็นผู้สูญเสียเพราะพระเยซูเจ้าไม่สามารถทำอะไรให้กับพวกเขาได้เลย…ในขณะนี้ในพิธีบูชาขอบพระคุณนี้พระเยซูเจ้ากำลังเสด็จมาหาพวกเราเราได้รับโอกาสที่จะฟังพระวาจาของพระองค์ด้วยความเชื่อและที่จะรับพระพรและความช่วยเหลือต่างๆจากพระองค์และที่สำคัญที่จะรับพระองค์ในศีลมหาสนิทด้วยความรัก
ข้อคิด…จากบทอ่านที่หนึ่ง(อสค2: 2-5)…ประกาศกในพระคัมภีร์เป็นบุคคลที่ได้รับการเรียกจากพระเจ้าให้พูดพระวาจาของพระเจ้าให้กับประชาชนของพระองค์แม้ว่าบางครั้งพระวาจาของพระเจ้าจะเป็นถ้อยคำที่รุนแรงและฟังยากแต่ก็เป็นพระวาจาแห่งความรักเพราะให้ความหมายว่าพระเจ้ามิได้ทรงทอดทิ้งประชากรของพระองค์แต่ว่าในเวลาเดียวกันประกาศกของพระเจ้าก็จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่จะรับความเป็นปฏิปักษ์และการถูกปฏิเสธต่างๆ…นี่เป็นกรณีที่ได้เกิดขึ้นกับบรรดาประกาศกในพระธรรมเก่าและได้เกิดขึ้นกับองค์พระเยซูเจ้าเองด้วย
ขณะที่ศาสนบริการของพระเยซูเจ้าในแคว้นกาลิลีกำลังใกล้จะสิ้นสุดลงพระองค์ก็ได้ถูกคนชาวนาซาเร็ธของพระองค์ปฏิเสธไม่ยอมรับเป็นการไม่ยอมรับความยิ่งใหญ่ของบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นคนหนึ่งท่ามกลางพวกเขาและผลที่ตามมาก็คือความศักดิ์สิทธิ์และฤทธิ์อำนาจของพระองค์ก็มิได้ถูกใช้เพื่อประโยชน์ของพวกเขาแต่อย่างใดการปฏิเสธพระเยซูเจ้าของคนชาวนาซาเร็ธถิ่นของพระองค์ในครั้งนี้เป็นการชิมลางก่อนที่พระองค์จะทรงถูกปฏิเสธจากชนชาวยิวทั้งชาติในโอกาสต่อไป
บรรดาคริสตชนในวันนี้จะต้องไม่ท้อแท้เพราะแลเห็นการขาดความเชื่อในหมู่พวกเรากันเองประสบการณ์แห่งความอ่อนแอของนักบุญเปาโล(=หนามที่ทิ่มแทงเนื้อหนังของท่าน)ได้สอนให้ท่านมีความสุภาพและในเวลาเดียวกันก็ได้ทำให้ท่านมีประสบการณ์แห่งฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าซึ่งไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้พระวาจาที่ว่า“พระหรรษทานของเราเพียงพอสำหรับท่าน” ก็เป็นพระวาจาสำหรับพวกเราเช่นกันและควรจะต้องเป็นความบันเทาใจอันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเราด้วยเมื่อจะต้องเผชิญกับปัญหาและความยุ่งยากต่างๆในชีวิตของเรา
พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของพระองค์ไปหาชาวบ้านชาวเมืองซึ่งพระองค์ได้เติบโตขึ้นมาด้วยกันกับพวกเขาแต่พวกเขากลับได้ค้นพบว่าพระองค์ได้ทรงเปลี่ยนไปการออกไปไกลๆจากเมืองนาซาเร็ธทำให้พระองค์ได้พบกระแสเรียกที่แท้จริงของพระองค์รวมทั้งพระพรต่างๆเช่นพระพรแห่งการเทศน์สอนและพระพรแห่งการรักษาให้หายทำให้พระองค์ได้กลายเป็นคนมีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นนักเทศน์สอนและนักทำอัศจรรย์
บ่อยๆครั้งคนเรามักจะต้องออกจากบ้านเกิดเมืองนอนของตนเพื่อเติบโตและพัฒนาตัวเองการอยู่ที่บ้านเกิดอาจจะทำให้เราไม่รู้จักโตเพราะขาดโอกาสขาดสิ่งท้าทายและขาดการยอมรับรู้
แต่ว่าเมื่อกลับมาถึงบ้านชาวบ้านเองก็ยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้พวกเขาต้องการเห็นคนที่จากพวกเขาไปได้กลับมาเหมือนเมื่อเวลาที่เขาได้จากไปพวกเขาจะได้รู้สึกสบายใจและพร้อมที่จะต้อนรับเขาซึ่งไม่มีอะไรในตัวเขาที่จะท้าทายพวกเขา
อย่างไรก็ตามพระเยซูเจ้าได้กลับมาและต้องการอย่างมากที่จะแบ่งปันพระพรต่างๆของพระองค์ให้กับพวกเขาแทนที่พระองค์จะได้รับการต้อนรับพระองค์กลับพบว่าพวกประชาชนจ้องมองดูพระองค์กำลังศึกษาค้นหาตัวตนที่แท้จริงของพระองค์และกำลังทำรายละเอียดกับพระองค์
ขณะที่พระองค์ได้เริ่มปราศรัยในธรรมศาลาพวกเขาก็สามารถแลเห็นว่าพระองค์ทรงมีพระพรพิเศษคือพระพรแห่งพระปรีชาญาณแทนที่จะชื่นชมยินดีกับพระองค์และเปิดหัวใจให้กับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงนำเสนอให้กับพวกเขาพวกเขากลับตั้งคำถามว่า“เขาได้สิ่งต่างๆเหล่านี้มาจากที่ไหนกัน?” นี่เป็นคำถามที่บ่อยๆผู้ที่รู้จักและผู้เป็นพ่อแม่มักจะถามลูกๆหลานๆของตัวเองเมื่อกลับมาบ้านหลังจากที่ได้จากไปเป็นระยะเวลาหนึ่งและนี่เรากำลังพูดถึงความลึกลับของการพัฒนาของบุคคลหนึ่ง…เราเป็นใครที่จะไปกำหนดขอบเขตและพื้นที่ของการพัฒนาตนเองให้กับคนอื่น?
ชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยของพระเยซูเจ้ายังอยู่ในความทรงจำของชาวเมืองนาซาเร็ธ…พระองค์เป็นเพียงช่างไม้ธรรมดาๆคนหนึ่ง…ครอบครัวของพระองค์ก็เป็นที่รู้จักอย่างดีสำหรับพวกเขา…พวกเขาได้กำหนดขอบเขตและพื้นที่ให้กับความสามารถของพระองค์อยู่แล้ว
พวกเขาได้ปฏิเสธที่จะเชื่อศรัทธาในองค์พระเยซูเจ้า…ท่าทีของพวกเขาปฏิเสธที่จะรับอะไรดีๆจากพระองค์…ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าแต่ก็เป็นเรื่องที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดีในแวดวงและในหมู่คณะของเรา…เพราะประกาศกจะไม่ได้รับการต้อนรับจากประชาชนของท่าน…บ่อยๆเราพลาดโอกาสที่จะรับรู้พระพรและความสามารถพิเศษของผู้ที่อยู่ใกล้ตัวเรา…ผู้ที่อยู่ในบ้านเดียวกันกับพวกเรา…เราไม่เห็นคุณค่าและไม่ยอมรับพวกเขา…เราไม่เคยได้ให้โอกาสพวกเขา…แย่ไปกว่านั้นเรากลับเหยียบย่ำพวกเขาไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้โงหัวขึ้นมา…เราได้หยิบยื่นความอยุติธรรมอันใหญ่หลวงให้กับพวกเขา…ในขณะเดียวกันพวกเราเองก็ได้สูญเสียอย่างใหญ่หลวงเหมือนกันเพราะเราไม่ต้องการที่จะตักตวงผลประโยชน์จากคุณงามความดีและพระพรต่างๆที่พวกเขามี
เป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจอยู่แล้วจากการที่ถูกคนอื่นปฏิเสธแต่ที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือการถูกปฏิเสธจากคนของตัว…พระเยซูเจ้าทรงมีความปรารถนาที่จะช่วยคนของพระองค์แต่พระองค์ก็ไม่สามารถทำได้เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้พระองค์ช่วย…เราคงจะไม่สามารถช่วยคนอื่นได้ถ้าพวกเขาไม่ต้องการ…พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกเศร้าใจแต่ก็ไม่ท้อแท้หรือโกรธโมโหพระองค์ได้ทรงทำอะไรบ้างเล็กๆน้อยที่เมืองนาซาเร็ธด้วยการรักษาคนเจ็บป่วยบางคน…ซึ่งก็ได้ทำให้การตัดสินใจของพระองค์ง่ายขึ้นเพราะพระองค์ได้ทรงตัดสินใจที่จะนำแสงสว่างและพระพรต่างๆของพระองค์ไปให้กับคนชาวเมืองอื่นเช่นเดียวกับในกรณีของนักบุญเปาโลที่ต้องหันหน้าไปหาคนต่างชาติ…ท่านเป็น“อัครสาวกของคนต่างชาติ”
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์