ข้อคิดอาทิตย์ที่6 เทศกาลธรรมดา ปี C
ลก6: 17.20-26…ผู้ที่ยากจนก็เป็นสุขเพราะพระอาณาจักรของพระเป็นเจ้าเป็นของพวกท่าน…
ต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำจะเจริญเติบโตและออกผล…เช่นเดียวกันสำหรับผู้ที่วางใจในพระเจ้าก็จะเป็นผู้มีความสุข…ในขณะที่เราชุมนุมกันอยู่ในบ้านของพระเจ้าอยู่นี้ก็ขอให้เราได้อธิษฐานวอนขอต่อพระองค์ได้ทรงทวีความเชื่อและความหวังในพระองค์ให้ยิ่งวันยิ่งมากขึ้น
ข้อคิด…มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถสังเกตเห็นได้ในบ้านของเศรษฐีหรือของบรรดาผู้มีอันจะกินทั้งหลายคือการขาดชีวิตชีวาและเสียงหัวเราะที่สนุกสนานครื้นเครงและเราแทบจะไม่เห็นเด็กๆวิ่งเล่นกันในสนามหญ้าแม้พวกเขาจะมีทุกสิ่งทุกอย่างแต่พวกเขาก็ไม่มีความสุขไม่มีความสนุกสนานร่าเริง
นักเขียนเรื่องนิยายที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งเล่าว่าป้าของเธอทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ในบ้านของเศรษฐีสามีภรรยาคู่หนึ่งบ้านที่มีห้องนอนถึง๑๔ห้องหน้าที่หลักของป้าคนนี้คือทำอาหารทุกๆวันคุณป้าแม่บ้านผู้นี้จะต้องเตรียมอาหารเช้าเบาๆอาหารเที่ยงดีๆและอาหารเย็นที่หรูหราสำหรับเศรษฐีสามีภรรยาคู่นี้และแขกของเขาที่มักจะมาร่วมสังสรรค์บ่อยๆ
เมื่อวันเวลาผ่านไปเศรษฐีคู่นี้มีอายุมากขึ้นก็เลิกรับแขกอาหารเย็นก็จะเหลือแต่ไข่เจียวขนมปังปิ้งและชาหรือกาแฟอ่อนๆถ้วยหนึ่งเศรษฐีตายายคู่นี้นั่งทานอาหารกันอย่างเงียบๆและแทบจะไม่ได้มองหน้ากันในระหว่างทานอาหาร
ในขณะเดียวกันเกือบทุกเย็นวันเสาร์คุณป้าแม่บ้านมักจะเชิญเพื่อนๆและคนรู้จักมักคุ้นมาร่วมสังสรรค์กันที่ใต้ถุนบ้านของเศรษฐีคู่นี้พวกเขาช่วยกันทำอาหารอร่อยๆทานมีเครื่องดื่มเล็กๆน้อยๆเปิดเพลงฟังเต้นรำเล่นไพ่กันแบบสนุกๆไม่จริงจังอะไรสลับกับเล่าเรื่องชวนหัวเราะ
เย็นวันเสาร์วันหนึ่งขณะที่คุณป้าแม่บ้านกับเพื่อนๆกำลังสนุกสนานกันอยู่ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดออกเป็นเจ้านายของเธอนั่นเองพลางกวักมือเรียกให้เธอมาหานายหญิงบอกกับเธอว่าเขาทั้งสองไม่ต้องการมารบกวนอะไรเธอดีใจที่เธอและเพื่อนต่างสนุกสนานร่าเริงมีความสุขเขาทั้งสองเพียงแต่อยากมาดูอย่างเงียบๆเพราะรู้สึกเหงาๆอย่างไรชอบกล…คุณป้าแม่บ้านอดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ที่เห็นเจ้านายของเธอแม้จะมีบ้านใหญ่โตมีสระว่ายน้ำรถยนต์หลายคันมีสวนใหญ่หน้าบ้านฯลฯแต่ไม่มีความสุขเหมือนกับเธอและเพื่อนๆ
เรื่องนี้สอนเราให้รู้ว่าคนจนอาจจะมีความสุขมากกว่าคนรวยเพียงแต่ว่าขอให้พวกเขารู้จักทำให้ตัวเองสนุกสนานร่างเริงความลับอยู่ที่การรู้จักใช้ชีวิตให้เป็นและอยู่ที่ความสามารถหยิบฉวยความสุขใหญ่ๆจากสิ่งนำเสนอเล็กๆน้อยๆ…การครอบครองทรัพย์สมบัติอย่างเกินความจำเป็นมิได้นำความสุขใจแต่อย่างใดมาให้กับมนุษย์เลยแต่อาจจะกลับเป็นชีวิตที่ลำบากไม่สามารถที่จะหยิบยื่นสิ่งดีๆแห่งชีวิตมาให้
อย่างไรก็ตามเรื่องที่เล่ามาข้างต้นนี้ได้ทำให้เราได้เห็นสัจธรรมอะไรบางอย่างคือสิ่งที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกล่าวถึงในเรื่องของบุญลาภในสายตาของชาวโลกคนรวยดูเหมือนว่าจะได้รับพระพรจากพระเจ้าขณะที่คนจนดูเหมือนว่าเป็นคนที่น่าสงสาร
แต่พระเยซูเจ้าได้ทรงกล่าวถึงความยากจนทางจิตวิญญาณของคนที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางกองเงินกองทองของโลกนี้และความร่ำรวยของคนจนที่ได้มอบความวางใจให้กับพระเจ้า
พระเยซูเจ้าได้พูดถึงความหิวกระหายอาหารของโลกนี้และความหิวกระหายอาหารเฉพาะพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถประทานให้
พระเยซูเจ้าได้พูดถึงความเศร้าโศกของผู้ที่หัวเราะและความชื่นชมยินดีของผู้ที่ร้องไห้
คนรวยต้องการมอบความหวังความวางใจทั้งสิ้นของตนกับทรัพย์สมบัติเงินทองสำหรับพวกเขาโลกเป็นอะไรทุกอย่างสำหรับตน ส่วนพระเจ้านั้นเป็นอะไรบางอย่างที่อยู่นอกสายตา…ส่วนสำหรับคนจนเขาวางใจเฉพาะในพระเจ้า…ที่จริงความจนในตัวของมันเองมิใช่ว่าเป็นสิ่งดีและควรใฝ่ฝันหา…เมื่อพระเยซูเจ้าทรงกล่าวว่า“ผู้ยากจนและหิวกระหายก็เป็นสุข” พระองค์มิได้ทรงอวยพรให้กับความยากจนและการที่จะต้องอดตายเพราะสิ่งเหล่านี้ในตัวของมันเองเป็นสิ่งไม่ดี
เป็นความจริงที่ว่าชีวิตที่แสนเข็ญสำหรับคนจนก็เป็นอะไรที่เขยิบเข้าใกล้ความตายอยู่ทุกขณะแต่ในเวลาเดียวกันก็ทำให้เขาเข้าใกล้โลกหน้าเหมือนกันนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพระเยซูเจ้ากล่าวว่า“คนจนก็เป็นสุขเพราะว่าอาณาจักรสวรรค์เป็นของพวกเขา”
ความจนที่ได้รับพระพรคือความจนของผู้ที่มอบความไว้วางใจในพระเจ้าไม่ใช่ในสิ่งสร้างเฉพาะพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าของเรามนุษย์และที่สามารถสนองตอบความหิวกระหายของหัวใจและหัวสมองของมนุษย์
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์