ข้อคิดอาทิตย์ที่4 เทศกาลปัสกาปีC
ยน10: 27-30…แกะของเราย่อมฟังเสียงของเราเรารู้จักมันและมันก็ตามเราเราให้ชีวิตนิรันดรกับแกะเหล่านั้นและมันจะไม่พินาศเลยตลอดนิรันดร…
ในพระวรสารของวันนี้พระเยซูเจ้าพระผู้เลี้ยงแกะที่ดีบอกกับพวกเราว่า“เรารู้จักแกะของเราแกะของเราย่อมฟังเสียงของเราและมันก็ตามเรา”…ให้เราได้หยุดไตร่ตรองสักครู่หนึ่งถึงความผิดพลาดของเราในการตอบสนองต่อการเรียกของพระเจ้าในการติดตามองค์พระเยซูเจ้าและต่อความรักและความใส่ใจที่พระองค์ได้ทรงมีต่อเราแต่ละคน
ข้อคิด…ภาพลักษณ์ของพระเยซูเจ้าที่เป็นนายชุมพาบาลหรือผู้เลี้ยงแกะที่ดีเป็นภาพลักษณ์ที่งดงามภาพหนึ่งที่เราคริสตชนมีต่อองค์พระเยซูเจ้าในฐานะที่เราเป็นฝูงแกะของพระองค์…ภาพลักษณ์นี้เป็นการอธิบายถึงพระองค์เองและอธิบายถึงพันธกิจของพระองค์ด้วย
ลูกจ้างเป็นเพียงผู้ดูแลฝูงแกะลูกจ้างไม่ใช่เจ้าของแกะและเขาจะวิ่งหนีทันทีถ้าเห็นสุนัขป่าเข้ามาใกล้…พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีเพราะฝูงแกะเป็นของพระองค์และพระองค์ทรงพร้อมเสมอที่จะสละชีวิตของพระองค์เพื่อแกะเหล่านั้น
พระเยซูเจ้าทรงให้คำมั่นสัญญาอย่างประเสริฐสุดกับผู้ที่เป็นของพระองค์ว่าพระองค์จะไม่ปล่อยให้มีผู้ใดพินาศไป…พระเยซูเจ้าทรงเอาพระทัยใส่ต่อบรรดาแกะที่พระบิดาทรงมอบไว้ให้กับพระองค์แกะที่เป็นของพระองค์จะปลอดภัยเมื่ออยู่กับพระองค์เพราะพระอานุภาพของพระบิดาเจ้าทรงสถิตอยู่กับพระองค์(เพราะพระองค์และพระบิดาทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน) และพระองค์จะทรงนำแกะเหล่านี้ไปยังทุ่งหญ้าแห่งชีวิตนิรันดร์
ความรู้สึกถึงการเป็นของพระเยซูเจ้าการเป็นที่รู้จักและการได้รับความรักจากพระองค์เป็นความบรรเทาใจและความอุ่นใจอย่างมหาศาลสำหรับผู้ที่ติดตามพระองค์แล้วใครเล่าจะไม่อยากเป็นแกะที่อยู่ในฝูงแกะของพระองค์
แล้วเราจะบอกได้อย่างไรว่าเราเป็นแกะที่อยู่ในฝูงแกะของพระเยซูเจ้าอย่างแท้จริง…มีปัจจัยหลักอยู่สามประการที่จะบอกเรื่องนี้แก่เราได้คือ
ประการแรกและเป็นข้อเรียกร้องพื้นฐานคือการมีความเชื่อมีศรัทธาในพระองค์และในพระวาจาของพระองค์ซึ่งทำให้เราเข้ามาอยู่ในฝูงแกะของพระองค์
ข้อเรียกร้องประการที่สองคือรู้จักฟังเสียงของพระองค์ เพราะ“แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา” การฟังเสียงของพระองค์คือการเอาใจใส่ในการฟังพระวาจาของพระองค์ต
และข้อเรียกร้องประการที่สามคือการติดตามพระเยซูเจ้าเพราะ“แกะของเราย่อมตามเรา”…การติดตามพระเยซูเจ้าคือกระทำตามพระวาจาของพระองค์
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เลี้ยงแกะและฝูงแกะนั้นจะต้องไปด้วยก้น…แกะต้องเลือกที่จะเป็นของพระองค์เพราะพระเยซูเจ้าไม่ทรงปรารถนาที่จะช่วยผู้ใดให้ได้รับความรอดพ้นโดยการบังคับน้ำใจของเขาแต่ทรงปรารถนาความต้องการอย่างจริงใจของพวกเขาที่จะเป็นของพระองค์ด้วยการติดตามพระองค์และกระทำตามพระวาจาของพระองค์และดังนี้พระองค์ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับเขา…“เราให้ชีวิตนิรันดร…พวกเขาจะไม่พินาศเลยตลอดนิรันดร”
การเป็นฝูงแกะของพระเยซูเจ้าไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเราจะมีชีวิตที่สะดวกสบายในโลกนี้แต่ตรงกันข้ามผู้ที่เป็นของพระองค์เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะถูกเบียดเบียนข่มเหงแต่ผู้ที่ยังคงซื่อสัตย์ต่อพระองค์จนถึงที่สุดนั้นจะได้ร่วมส่วนในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ในสวรรค์(ในบทอ่านที่สอง)…ผู้ที่ได้รับความทุกข์ยากและถูกเบียดเบียนนั้นเป็นโอกาสให้พวกเขาพิสูจน์ความเชื่อศรัทธาและความนอบน้อมที่พวกเขามีต่อองค์พระเยซูเจ้า
ฝูงแกะเป็นภาพลักษณ์ของชุมชนหรือสังคมแม้ในระดับของมนุษย์ก็มีความต้องการเป็นชุมชนเป็นสังคม…พระเยซูเจ้าทรงทราบสิ่งนี้ดีและทรงปรารถนาให้ผู้ติดตามพระองค์มีชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณเพราะในชุมชนเราจะพบความช่วยเหลือการแบ่งปันซึ่งกันและกันการให้กำลังใจต่อกันและความเป็นมิตรไมตรีที่ดีต่อกันเราไม่สามารถเป็นของพระเยซูเจ้าได้โดยไม่เป็นแกะที่อยู่ในฝูงของพระองค์และการเป็นของพระองค์ไม่ใช่สิทธิพิเศษที่มอบให้กับผู้ได้รับเลือกเพียงไม่กี่คนแต่เป็นของทุกคน
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์