ข้อคิดวันสมโภชพระจิตเจ้า ปี C
ยน14: 15-16, 23ข-26…เราบอกสิ่งเหล่านี้ให้ท่านฟังขณะที่เรายังอยู่กับท่านแต่พระผู้ช่วยเหลือคือ”พระจิตเจ้า”ที่พระบิดาจะส่งมาในนามของเรานั้นจะทรงสอนท่านทุกสิ่งและจะทรงให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราเคยบอกท่าน…
วันนี้เราทำการสมโภชการเสด็จมาของพระจิตเจ้ายังบรรดาอัครสาวกและสานุศิษย์ของพระองค์…ผ่านทางคำอธิษฐานภาวนาของพระศาสนจักรพระจิตเจ้าก็เสด็จมายังเราแต่ละคนในวันสมโภชนี้…ดังนั้นให้เราเตรียมตัวเตรียมจิตใจของเราให้พร้อมที่จะรับเสด็จพระองค์ด้วยการเป็นทุกข์ถึงบาป
ข้อคิด…ครั้งแรกที่พระเยซูเจ้าทรงประทานพระจิตเจ้าให้กับบรรดาอัครสาวกเกิดขึ้นในเวลาเย็นวันอาทิตย์ปัสกา(ยน20: 21-23)…การเป่าลมเหนือพวกอัครสาวกเป็นสัญลักษณ์ของการรับพระจิตเจ้าพระองค์ซึ่งเป็นหลักการของสิ่งสร้างใหม่นอกจากนั้นการรับพระจิตก็ยังหมายถึงการรับพระพรของพระองค์และการส่งบรรดาอัครสาวกและศิษย์ของพระเยซูเจ้าออกไปเทศน์สอนให้กับนานาชาติตามที่พระเยซูเจ้าได้ทรงมีพระบัญชาไว้…
…เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเจริญชีวิตคริสตชนอย่างดีได้โดยปราศจากพระจิตเจ้าเป็นผู้นำเราจะซาบซึ้งถึงบทบาทของพระจิตในชีวิตคริสตชนได้นั้นเราต้องเริ่มจากพระเยซูเจ้าแม้องค์พระเยซูเจ้าเองก็จำเป็นต้องมีพระจิตพระจิตเจ้าทรงมีบทบาทที่สำคัญในชีวิตของพระองค์และพระจิตเสด็จลงมาอยู่เหนือพระองค์เมื่อพระองค์ทรงรับพิธีล้างทั้งยังได้ประกาศว่าพระองค์เป็นพระบุตรสุดที่รักของพระบิดาเจ้า
ในขณะที่พระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างนั้นพระองค์ทรงรับอำนาจจากเบื้องบนในการเริ่มพันธกิจของพระองค์…พระจิตเจ้ามิได้ถูกมอบให้พระองค์เพียงชั่วขณะแต่พระจิตยังคงประทับอยู่กับพระองค์ตลอดพันธกิจของพระองค์พระเยซูเจ้ายังคงให้พระจิตทรงนำทางและประทานความเข้มแข็งให้กับพระองค์อย่างต่อเนื่อง
พระเยซูเจ้าทรงเริ่มพันธกิจของพระองค์ด้วยการทำให้ถ้อยคำของประกาศกอิสยาห์เป็นของพระองค์เอง…“พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้าเพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากคนจนทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำคืนสายตาให้แก่คนตาบอดปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากพระเจ้า”
ช่างเป็นพันธกิจที่งดงามและพระองค์ทรงกระทำตามด้วยความซื่อสัตย์…พระเยซูเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระจิตซึ่งทำให้พระอานุภาพออกจากพระองค์โดยทางพระวาจาแห่งความเมตตาและโดยการกระทำด้วยความเมตตาสงสาร
เป็นพระจิตเจ้าที่ทรงปลุกพระเยซูเจ้าให้ฟื้นคืนชีพจากความตายและทรงเป็นพระจิตเจ้าองค์เดียวกันที่เปิดจิตใจของบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าและทรงช่วยพวกเขาให้เข้าใจถึงความหมายของการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเสด็จสู่สวรรค์ในพระสิริรุ่งโรจน์และประทับเบื้องขวาของพระบิดาพระเยซูเจ้าทรงประทานพระจิตลงเหนือบรรดาผู้ที่จะต้องสานต่อพันธกิจของพระองค์พระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือบรรดาอัครสาวกทั้งที่เป็นส่วนบุคคลและโดยส่วนรวมเมื่อพวกเขาเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้าแล้วพวกเขาจึงเริ่มพันธกิจที่ได้รับมอบหมายจากองค์พระอาจารย์เจ้า และเราได้เห็นว่าพวกเขาประกาศข่าวดีของพระอาจารย์เจ้าของพวกเขาและกระทำการต่างๆด้วยความกล้าหาญและอย่างมั่นใจโดยอาศัยองค์พระจิตเจ้า
และเป็นพระจิตเจ้าองค์เดียวกันนี้ที่เราได้รับเมื่อเรารับศีลล้างบาปและศีลกำลังพระจิตที่เรารับมิใช่อยู่กับเราเพียงชั่วขณะแต่ทรงอยู่และเดินไปพร้อมๆกับเราตลอดการเดินทางแห่งชีวิตของเราตามรอยพระบาทของพระเยซูเจ้าพระจิตเจ้าทรงประทานพละกำลังให้เรามีส่วนร่วมในงานของพระเยซูเจ้าพระจิตเจ้าทรงเป็นพละกำลังในยามที่เรามีความอ่อนแอทรงแนะนำเราเมื่อเรามีความสงสัยทรงบรรเทาใจเราเมื่อเรามีความโศกเศร้าและทรงวอนขอแทนเราเมื่อเราต้องการการแก้ต่างเราไม่สามารถก้าวเดินไปเองได้แม้แต่ก้าวเดียวโดยไม่มีพระจิตเจ้า
พระพรของพระจิตเจ้าคือพระดำริสติปัญญาความคิดอ่านพละกำลังความรู้ความศรัทธาและความยำเกรงพระเจ้า
พระดำริสติปัญญาและความคิดอ่านจะช่วยนำทางจิตใจของเราและช่วยเหลือมโนธรรมของเราในการแยกแยะว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด…พละกำลังจะช่วยเราให้กระทำสิ่งที่ถูกต้องแม้สิ่งนั้นจะยากลำบากหรือไม่เป็นที่ชื่นชอบ…ความยำเกรงพระเจ้าจะช่วยทำให้เรามีความยำเกรงพระเจ้าอย่างแท้จริง
นักบุญเปาโลกล่าวว่าผลลัพธ์ของพระจิตเจ้าคือความรักความชื่นชมยินดีความสงบความอดทนความเมตตาความใจดีความซื่อสัตย์ความอ่อนโยนและการรู้จักควบคุมตนเอง…คุณธรรมเหล่านี้เป็นสิ่งงดงามและทำให้ชีวิตมีความชื่นชมยินดี(กท5: 22)
ในเวลาเดียวกันนักบุญเปาโลบอกเราว่าการกระทำตามใจตามความปรารถนาของตนเองทำให้เกิดความโกรธเคืองการทะเลาะวิวาทความอิจฉาริษยาการแบ่งพรรคแบ่งพวกการกราบไหว้รูปบูชาการผิดประเวณีและการเมามายสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าเกลียดและทำให้ชีวิตน่าอนาถยิ่งเราปฏิเสธตนเองมากเท่าใดและ“เดินอยู่ในหนทางของพระจิตเจ้า”ยิ่งจะก่อให้เกิดผลดีแก่ชีวิตเรามากขึ้นเท่านั้น
พระจิตเจ้าที่เราได้รับไม่ใช่พระจิตแห่งความขี้ขลาดกลัวแต่เป็นพระจิตแห่งพละกำลัง…ลมและไฟ(ความร้อน) เป็นสัญลักษณ์ของพละกำลังลมมีพละกำลังในการทำให้สิ่งต่างๆเคลื่อนที่ไปถอนรากขึ้นส่วนไฟนั้นมีพละกำลังในการปรับแต่งและเปลี่ยนแปลง…สัญลักษณ์ของพละกำลังเหล่านี้คือพละกำลังของพระจิตเจ้าการเสด็จมาของพระจิตเจ้าทำให้บรรดาอัครสาวกมีพลัง มีความกล้าหาญและมีความรักที่จะทำงานที่พระคริสตเจ้าทรงมอบให้พวกเขา
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์