ข้อคิดวันสมโภชพระตรีเอกภาพปี C
ยน16: 12-15…พระเยซูเจ้าทรงตรัสว่า“เมื่อพระจิตแห่งความจริงเสด็จมา…พระองค์จะทรงให้เราได้รับพระสิริรุ่งโรจน์…ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นก็เป็นของเราด้วยดังนั้นเราจึงบอกว่าพระจิตเจ้าจะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงรับจากเรา”…
พระตรีเอกภาพซึ่งเราทำการสมโภชในวันนี้นำเรามนุษย์ทุกๆคนให้ไปอยู่ต่อหน้าธรรมล้ำลึกขององค์พระผู้เป็นเจ้า…เราสามารถเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าด้วยการสังเกตดูสิ่งสร้างแต่ว่าเป็นองค์พระเยซูเจ้าซึ่งได้เผยแสดงธรรมล้ำลึกของพระเจ้าให้กับเรา…แต่ว่าหลายๆครั้งเรากลับหลงใหลในสิ่งสร้างจนทำให้เราลืมพระเจ้า…ให้เราได้ไตร่ตรองในเรื่องนี้สักครู่หนึ่ง
ข้อคิด…สิ่งแรกที่บิดามารดาสอนเราเกี่ยวกับศาสนาคงจะเป็นการทำเครื่องหมายสำคัญกางเขนและสิ่งสุดท้ายที่พระสงฆ์ทำที่หลุมฝังศพของเรา ก็คือการทำเครื่องหมายสำคัญกางเขนเหนือร่างที่ไม่ไหวติงของเรา เพราะชีวิตคริสตชนของเราถูกตราไว้ “ในพระนามของพระบิดา และพระบุตร และพระจิต”…และบทภาวนาของพระศาสนจักรโดยทั่วๆไป จะอธิษฐานล่าวถึงพระบิดา (ในฐานะผู้ทรงให้กำเนิดทุกชีวิตที่กล่าวอยู่ในเรื่องของการสร้างโลก) และการส่งพระบุตรของพระองค์หรือพระวจนาตถ์ (ให้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ถูกทรมาน ถูกตรึงที่ไม้กางเขน กลับขึ้นพระชนมชีพและเสด็จสู่สวรรค์ เพื่อช่วยเราให้รอดพ้น) และการส่งพระจิตเจ้า (เพื่อการเกิดใหม่ของเราคริสตชนจากน้ำและพระจิต)
การเผยแสดงของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นพระบิดา และพระบุตร และพระจิตนั้น ก่อนอื่นหมด บอกเราถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นสำหรับเรา แต่ในเรื่องที่เกี่ยวกับเอกภาพอันล้ำลึกของพระบิดา และพระบุตร และพระจิตนั้น เราคงไม่สามารถพูดได้อย่างมั่นใจด้วยภาษาของเรามนุษย์ซึ่งไม่สามารถบรรยายธรรมล้ำลึกอันสุดพรรณนาของพระเจ้าได้…มนุษย์ต้องการรู้จักพระเจ้าอย่างลึกซึ้งและอย่างละเอียด แต่เรามนุษย์ต้องตระหนักว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าการรู้เกี่ยวกับพระเจ้า คือการรู้จักพระองค์แบบที่คนรักรู้จักกันและกัน
การรู้จักพระเจ้าในรูปแบบของสัมพันธภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างบุคคลกับบุคคลที่ไม่อาจจะบรรยายได้ในภาษามนุษย์ จะทำให้เรามนุษย์เต็มอิ่ม เพราะ“พระเจ้าทรงพระปรีชาและทรงรอบรู้ลึกล้ำเพียงใด คำตัดสินของพระองค์สุดที่จะหยั่งรู้ได้ และมรรคาของพระองค์สุดที่จะเข้าใจได้” (รม11:33)
พระตรีเอกภาพซึ่งเป็นที่รู้จักในองค์พระบิดาและพระบุตรและพระจิตทรงเป็นองค์ศักดิ์สิทธิ์ครบครันปราศจากการเจือปนจากสิ่งภายนอกทั้งไม่ถูกจำกัดอยู่ในพระผู้สร้างและสิ่งสร้างหากแต่ประกอบด้วยอานุภาพสมบูรณ์ที่จะสร้างสรรค์และใช้พลัง…พระธรรมชาติของพระองค์ก็มั่นคงอยู่ได้เองไม่แบ่งแยกเพราะรวมเป็นหนึ่งในสามพระบุคคลเหตุว่าพระบิดาทรงสร้างสรรค์ทุกสิ่งโดยทางพระวจนาตถ์ในพระจิตเจ้าความเป็นหนึ่งเดียวของพระตรีเอกภาพศักดิ์สิทธิ์จึงคงอยู่ด้วยประการฉะนี้…ดังนั้นพระศาสนจักรจึงประกาศพระเจ้าหนึ่งเดียวผู้ทรงเป็นอยู่ “เหนือสรรพสิ่ง” หมายความถึงทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยพระวจนาตถ์และที่สุด“ในทุกสิ่ง” คือทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการขับเคลื่อนในองค์พระจิตเจ้า
เมื่อนักบุญเปาโลเขียนจดหมายถึงชาวโครินธ์ท่านบรรยายถึงพระเจ้าหนึ่งเดียวคือพระบิดาผู้ทรงเป็นแหล่งที่มาของสรรพสิ่งเมื่อท่านกล่าวว่า “พระพรพิเศษมีหลายประการแต่มีพระจิตเจ้าพระองค์เดียวมีหน้าที่หลายอย่างต่างกันแต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวกิจการมีหลายอย่างแต่มีพระเจ้าพระองค์เดียวผู้ทรงกระทำทุกอย่างในทุกคน” (1 คร12: 4-6)
พระคุณซึ่งพระจิตเจ้าทรงแจกจ่ายให้แต่ละคนก็เป็นของประทานของพระบิดาผ่านทางพระบุตรองค์พระวจนาตถ์เหตุว่าทุกสิ่งที่เป็นของพระบิดาก็เป็นของพระบุตรด้วยเป็นอันว่าทุกสิ่งที่พระบุตรประทานให้ในพระจิตจึงเป็นของประทานจากพระบิดาในทำนองเดียวกันเมื่อพระจิตเจ้าประทับอยู่ในเราพระวจนาตถ์และพระบิดาก็ประทับกับเราด้วยและนี่เป็นความหมายของข้อความต่อไปนี้ที่ว่า“เรา(หมายถึงพระบิดาและพระบุตร) จะมาหาเขาและจะพำนักอยู่ในเขา”
ในจดหมายถึงชาวโครินธ์ฉบับที่สองนักบุญเปาโลได้กล่าวเช่นเดียวกันว่า “ขอให้พระหรรษทานของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและขอพระเจ้าและความสนิทสัมพันธ์ของพระจิตเจ้าสถิตอยู่กับทุกท่านเทอญ” (2 คร13:13)…ท่านนักบุญอาทานาสบอกเราว่าพระหรรษทานและพระคุณซึ่งพระตรีเอกภาพประทานให้นั้นประทานให้โดยพระบิดาทางพระบุตรและในพระจิตและผลที่ตามมาจากพระคุณนี้ก็มาจากพระจิตเจ้าเพราะถ้าเราได้รับพระจิตแล้วเราก็จะมีความรักของพระบิดาและพระหรรษทานของพระบุตรและความสนิทสัมพันธ์กับพระจิต
ให้เราพร้อมใจกันภาวนาต่อพระตรีเอกภาพว่า…ขอโปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายประกาศยืนยันความเชื่อแท้จริงและขอยอมรับรู้พระเกียรติมงคลแห่งพระตรีเอกภาพผู้ทรงสถิตนิรันดร และขอกราบนมัสการทั้งสามพระบุคคลพระบิดาและพระบุตรและพระจิตรวมเป็นพระเจ้าทรงฤทธิ์และมีพระเดชานุภาพหนึ่งเดียวกัน
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์