ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 14 เทศกาลธรรมดาปีC
ลก10: 1-12. 17–20…ข้าวที่จะเกี่ยวมีมากแต่คนงานมีน้อยจงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด…
พระเยซูเจ้าได้ทรงส่งพวกศิษย์ของพระองค์ให้ไปเทศน์สอนชาวบ้านให้เป็นผู้นำสันติไปให้พวกเขาให้ไปช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บและนำข่าวดีแห่งพระอาณาจักรของพระเจ้าไปให้พวกเขา…ก่อนที่เราจะสามารถแบ่งปันสิ่งดีๆดังกล่าวให้กับคนอื่นเราจำเป็นต้องมีสิ่งต่างๆเหล่านี้ก่อน…ให้เราได้หันไปหาพระเจ้าพระผู้ได้ทรงประทานพระพรเหล่านี้มาให้เราพลางขอบพระคุณพระองค์
ข้อคิด…พระวรสารในวันอาทิตย์นี้เล่าถึงพระเยซูเจ้าส่งศิษย์เจ็ดสิบสองคนของพระองค์ให้ล่วงหน้าไปยังหัวเมืองต่างๆที่พระองค์ทรงต้องการจะไปเยี่ยมพระองค์ทรงบอกให้พวกเขาพูดกับประชาชนเพียงสองเรื่องนี้ก็พอคือเรื่องของสันติภาพ “สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้เถิด” และเรื่องของพระอาณาจักร“พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว” และได้กำชับพวกเขาว่าควรจะต้องประพฤติตัวและพูดอย่างไรเมื่อไปประกาศข่าวดีของพระองค์ให้กับประชาชน
นักบุญยอห์นปอลที่สองพระสันตะปาปาได้ทรงกล่าวไว้ในพระสมณสาสน์“พระพันธกิจขององค์พระผู้ไถ่”(Redemptoris Missio) ว่า”เราจะมีดวงจิตที่สงบนิ่งไม่ได้เมื่อนึกถึงพี่น้องชายหญิงของเราอีกเป็นล้านๆคนซึ่งได้รับการไถ่โทษแล้วเช่นกันด้วยพระโลหิตของพระคริสต์แต่ยังมีชีวิตอยู่ในความไม่รู้ถึงความรักของพระเจ้าสำหรับคริสตชนแต่ละคนเช่นเดียวกับสำหรับพระศาสนจักรทั้งมวลภาระหน้าที่ในการแพร่ธรรมจักต้องมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งเพราะเกี่ยวกับชะตานิรันดรของมนุษย์และเป็นการสนองตอบอย่างสอดคล้องกับแผนการอันลึกล้ำและเปี่ยมด้วยเมตตาของพระเจ้า”
แน่นอนข้าวที่จะเกี่ยวมีมากสำหรับคนที่มีสายตากว้างไกลที่จะมองดูทุ่งนาและมีหัวใจที่พร้อมจะตอบสนองคำเชื้อเชิญของพระเยซูเจ้าและความห่วงใยของผู้แทนของพระองค์ในโลกนี้ข้าวที่จะเกี่ยวนี้มีอยู่ในโรงพยาบาลในบ้านในโรงเรียนในเรือนจำในสถานที่ทำงานในบ้านใกล้เรือนเคียงทุกๆวันจึงต้องเป็นวันเก็บเกี่ยวข้าวให้พระเยซูเจ้า
พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงส่งสาวกให้ออกไปช่วยพระองค์เก็บเกี่ยวข้าวในนาหลายๆคนอยากจะคิดว่างานนี้น่าจะเป็นของผู้ชำนาญการพิเศษเช่นพระสงฆ์นักบวชชายหญิงและบรรดามิสชันนารี่ แต่ว่าคนที่พระเยซูเจ้าทรงส่งออกไปนั้นส่วนใหญ่แล้วกลับเป็นคนธรรมดาๆไม่มีความรู้ไม่มีความสามารถอะไรเป็นพิเศษถึงกระนั้นพวกเขาก็ได้กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงคุณค่าของพระองค์เพราะพวกเขารู้ว่าพระองค์ทรงไว้ใจพวกเขาให้ทำงานเพื่อพระองค์
ศิษย์ทั้ง๗๒คนนั้นได้เป็นผู้ที่พระเยซูเจ้าส่งออกไปทำงานให้พระองค์รู้จักให้กับคนอื่นสิ่งที่พวกเขาได้รับจากพระองค์… เช่นเดียวกันพระองค์ทรงเรียกร้องพวกเราให้รู้จักแบ่งปันให้กับเพื่อนพี่น้องสิ่งที่เราได้รับจากพระองค์เราจะสามารถยกฐานะของตัวเราให้สูงขึ้นก็โดยที่เราจะได้ช่วยยกฐานะของเพื่อนพี่น้องของเราให้สูงขึ้นด้วยการนำสิ่งดีๆของพระเจ้าไปให้กับเขา
การเป็นสาวกของพระเยซูเจ้าคือการเป็นผู้ที่ถูกส่งออกไปและคงไม่มีความจำเป็นที่ใครคนหนึ่งจะทำงานให้กับพระเยซูเจ้าจะต้องเป็นผู้วิเศษหรือเป็นซุปเปอร์แมนมีความแตกต่างระหว่างความเป็นอัจฉริยะกับความเป็นสาวกความแตกต่างที่ว่านี้มิใช่เป็นเรื่องของความสามารถหรือความเฉลียวฉลาดแต่อย่างใดแต่ว่าเป็นเรื่องของเป้าหมายและการผูกมัดตัวเองต่างหาก
การที่คนใดคนหนึ่งถูกเรียกจากพระเจ้ามิใช่หมายความว่าเขาจะกลายเป็นคนฉลาดมากขึ้นหรือกลายเป็นคนที่มีจินตนาการที่กว้างไกลกว่าคนอื่นไม่เลยพวกเขายังคงต้องพึ่งสิ่งที่พวกเขามีตามธรรมชาติตั้งแต่เกิดแต่ว่าเวลานี้พวกเขามีเป้าหมายที่แน่ชัดขึ้นและมีความมุ่งมั่นมากกว่าเดิมและนั่นแหละที่ให้ความแตกต่างอย่างมาก
การเป็นสาวกของพระเยซูเจ้านั้นมิใช่เป็นสิทธิพิเศษอะไรที่จะอยู่เหนือคนอื่นแต่ว่าเป็นการรับใช้เพื่อนมนุษย์เพื่อพระอาณาจักรของพระเจ้าซึ่งเป็นอาณาจักรแห่งสันติภาพอาณาจักรแห่งความรักอาณาจักรแห่งการรับใช้และเป้าหมายของการถูกส่งออกไปนั้นมิใช่ความสำเร็จแต่เป็นความซื่อสัตย์ต่อผู้ที่ส่งเขาให้ออกไปและต่อการสานต่องานของพระองค์คือการสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นให้จงได้ก่อนอื่นในตัวเราแต่ละคนในหมู่คณะในสังคมในประเทศชาติและในโลกที่มนุษย์เราอยู่ร่วมกัน
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์