ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 15เทศกาลธรรมดาปีC
ลก10: 25-37…ชาวสะมาเรียผู้หนึ่งเดินทางผ่านมาใกล้ๆเห็นชายที่ถูกโจรปล้นก็รู้สึกสงสารจึงเดินเข้าไปหาเทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้นำเขาขึ้นหลังสัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่งและช่วยดูแลเขา…
วันนี้เราได้ยินได้ฟังเรื่องอุปมา“ชาวซามาเรียผู้ใจอารี” ที่พระเยซูเจ้าทรงต้องการสอนเราว่าพระเจ้าทรงประสงค์ให้เราได้ใส่ใจซึ่งกันและกัน…ทั้งสมณะและชาวเลวีคนนั้นสมควรที่จะต้องถูกลงโทษเพราะบาปประการหนึ่งซึ่งไม่ใช่เพราะเป็นการกระทำแต่เพราะเป็นการละเลยเพราะทั้งสองคนไม่ยอมที่จะช่วยเหลือชายคนนั้นที่ถูกโจรปล้นและถูกทุบตี…บาปของการละเลยอาจจะเป็นบาปที่เลวร้ายที่สุดของเราแต่ว่าเราบ่อยๆครั้งกลับคิดว่ามันไม่ใช่บาป
ข้อคิด…จากบทอ่านที่หนึ่งเป็นการคัดมาจากสุนทรพจน์อำลาของโมเสสที่มีต่อชาวอิสราเอลท่านได้ตักเตือนพวกเขาให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างสุดจิตใจและสุดวิญญาณและพระเยซูเจ้าเองในพระวรสารได้ทรงทอนพระบัญญัติทั้งหลายให้เหลือเพียงสองข้อคือรักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง
ความเป็นอริศัตรูกันระหว่างชนชาวสะมาเรียและชนชาวยิวได้ถูกหล่อเลี้ยงด้วยความไม่เข้าใจกันด้วยความไม่ไว้ใจกันและด้วยความเกลียดชังตั้งแต่ประมาณเจ็ดร้อยกว่าปีก่อนพระเยซูเจ้าและในสมัยพระเยซูเจ้าเองความเป็นอริศัตรูกันระหว่างชนชาติทั้งสองก็ยังคงอยู่ซึ่งเราสามารถพบได้ในบางช่วงบางตอนของพระวรสารเช่นการไม่ต้อนรับพระองค์กับสานุศิษย์เวลาที่ต้องเดินทางจากแคว้นกาลิลีไปยังกรุงเยรูซาเล็ม…แต่ว่าในขณะเดียวกันก็ยังมีชาวสะมาเรียที่น่ารักในพระวรสารด้วยเหมือนกันคือ“หญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำยาก๊อบ” และในเรื่องอุปมา“ชาวสะมาเรียผู้ใจดี”
หญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำเป็นรูปแบบของผู้ที่กำลังแสวงหาน้ำที่สามารถดับความกระหายความต้องการของเรามนุษย์หญิงชาวสะมาเรียคนนี้ตระหนักดีว่าน้ำจากบ่อและมิตรภาพของมนุษย์ยังไม่เพียงพอที่จะระงับความต้องการที่อยู่ในส่วนลึกๆในหัวใจของมนุษย์มนุษย์ยังต้องการ“น้ำทรงชีวิต” ซึ่งเป็นพระเจ้าและพระวาจาของพระองค์เมื่อดื่มเข้าไปแล้วก็จะไม่หิวกระหายอีกต่อไป
ส่วนชาวสะมาเรียใจอารีในเรื่องอุปมานั้นก็คงทำให้เราระลึกถึงพระบัญญัติประการเอกของความรักว่ามิใช่เป็นเรื่องของการเรียนรู้ว่าใครเป็นเพื่อนพี่น้องของเรามากเท่ากับที่หัวใจของเราแต่ละคนที่จะต้องรู้สึกสงสารเห็นใจคนที่ต้องการความช่วยเหลือ
หญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำและชาวสะมาเรียผู้ใจดีเป็นตัวแทนรูปแบบแห่งความรักทั้งสองด้านที่แยกออกจากกันไม่ได้…หญิงชาวสะมาเรียเป็นตัวแทนความรักต่อพระเจ้าด้วยสิ้นสุดหัวใจพลางปรารถนาพระองค์เพื่อเติมเต็มหัวใจของนางส่วนชาวสะมาเรียผู้ใจดีเป็นตัวแทนของความรักต่อเพื่อนมนุษย์ที่ต้องการได้รับความเมตตาสงสารและความใส่ใจและความช่วยเหลือจากเพื่อนพี่น้อง
ชาวสะมาเรียคนนั้นเมื่อเห็นคนโดนทำร้ายได้รับบาดเจ็บทันทีเขารู้สึกสงสารและตรงเข้าไปให้ความช่วยเหลือโดยไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเขาทั้งไม่สนใจว่าคนโดนทำร้ายนั้นจะเป็นชนชาวยิวหรือไม่เพราะขณะนั้นชาวยิวและชาวสะมาเรียไม่ถูกกันเป็นอริศัตรูกัน
ส่วนสมณะและคนชาวเลวีซึ่งเป็นนักบวชไม่รู้สึกมีความสงสารต่อคนที่โดนทำร้ายบาดเจ็บ…“ศาสนิกชนที่ไม่มีความเมตตาสงสารเป็นศาสนิกชนที่ใช้ไม่ได้”…ใครก็ตามที่ไม่มีความเมตตาสงสารก็ไม่ควรที่จะได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่แท้จริงและยิ่งไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นพระสงฆ์นักบวช
จากเรื่องอุปมาของพระเยซูเจ้านี้ทำให้เราได้ทราบถึงนิสัยใจคอของบุคคลทั้งสาม
สมณะและคนชาวเลวีเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเมื่อตกอยู่ในสภาวะคับขันและต้องตัดสินใจก็หนีเอาตัวรอดก่อนส่วนคนชาวสะมาเรียเป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัวคิดถึงคนอื่นก่อนที่จะคิดถึงตัวเอง
สมณะและคนชาวเลวีมีความผิดเพราะบาปแห่งการละเลยเพิกเฉย…บาปแห่งการละเลยเพิกเฉยน่าจะเป็นบาปที่เลวร้ายที่สุดประการหนึ่งของมนุษย์แต่ถึงกระนั้นเราก็คิดว่าตราบใดที่เรายังไม่ได้ทำร้ายคนอื่นเราก็ยังเป็นคนดีอยู่แต่บางทีเรามองดูคนอื่นโดนทำร้ายบาดเจ็บและเราก็ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือทั้งๆที่เราสามารถช่วยเหลือเข่าได้อย่างนี้มโนธรรมของเรายังเป็นสุขอยู่หรือ? มีหลายๆคนทำเป็นคนมือสะอาดโดยยืนดูอยู่ห่างๆเมื่อมีคนกำลังโดนทำร้ายและตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากแล้วก็เดินหนีไปเฉยๆ
คนชาวสะมาเรียคนนั้นเป็นผู้ที่รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นคนที่รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นเป็นคนที่วิเศษจริงๆพวกเขาเป็นเหมือนเกลือดองแผ่นดินและเป็นเหมือนแสงสว่างส่องโลกพวกเขามิได้ใส่ใจเฉพาะหน้าที่ของตนเท่านั้น แต่พวกเขาใส่ใจสิ่งอื่นๆด้วยก็เพราะว่าหัวใจของพวกเขาเรียกร้องมิให้เขาทำอย่างอื่นนอกจากให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่โดนทำร้ายที่ต้องทนทุกข์ยากลำบากและที่มีความเจ็บปวดทั้งใจและกาย
เราแต่ละคนสามารถทำประโยชน์ให้กับคนอื่นได้ทุกๆวันจะมีโอกาสเช่นนี้เข้ามาหาเราใหญ่บ้างเล็กบ้างขอเพียงแต่ให้เราได้ใส่ใจต่อโอกาสเช่นนี้และรีบคว้าไว้เช่นการพูดดีที่ให้กำลังใจให้การปลอบโยนการแสดงความเห็นอกเห็นใจการให้ความช่วยเหลืออะไรบางอย่างที่เป็นรูปธรรมฯลฯและนี่อาจจะเป็นหยดเล็กๆของ “น้ามันและเหล้าองุ่น” ที่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดของบาดแผลของคนอื่นได้
หนทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยริโคเปรียบเสมือนเป็นหนทางแห่งชีวิตของเราแต่ละคนก่อนที่จบเรื่องราวของใจคนชาวสะมาเรียผู้อารีพระเยซูเจ้าได้ทรงตรัสกับหมอกฎหมายคนนั้นว่า“ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด” คำพูดนี้ก็เป็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการจะบอกกับเราแต่ละคนเหมือนกัน…เราที่กำลังเดินอยู่บนหนทางแห่งชีวิตก็ขอให้เราได้ทำตัวให้เป็นประโยชนแก่เพื่อนพี่น้องของเราเหมือนกับคนชาวสะมาเรียผู้ใจอารีคนนั้น
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์