ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 28เทศกาลธรรมดาปีC
ลก17: 11-19…คนโรคเรื้อนสิบคนเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้าร้องตะโกนว่า“พระเยซูพระอาจารย์โปรดสงสารพวกเราเถิด”…เมื่อพวกเขาหายจากโรคคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวสะมาเรียกลับมาหาพระเยซูเจ้าซบหน้าลงแทบพระบาทขอบพระคุณพระองค์…”ไม่มีใครกลับมาถวายพระเกียรติแด่พระเจ้านอกจากคนต่างชาติคนนี้หรือ”…”จงลุกขึ้นไปเถิดความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว”
เรามาชุมนุมกันในโบสถ์นี้เพื่อร่วมถวายพิธีบูชาขอบพระคุณแด่พระเจ้า…พิธีกรรมนี้มีความหมายเป็นการ“ขอบพระคุณ”…ดังนั้นให้เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพระพรต่างๆที่เราได้รับจากพระองค์โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยผ่านทางองค์พระเยซูเจ้าพระบุตรของพระองค์…
ข้อคิด…พระวาจาของพระเจ้าสำหรับวันอาทิตย์นี้ต้องการจะสอนเราในเรื่องของความกตัญญูหรือการรู้คุณ…จากบทอ่านที่หนึ่งซึ่งเล่าให้เราฟังเรื่องราวของนาอามันชาวซีเรียซึ่งได้รับการรักษาให้หายจากโรคเรื้อนพร้อมทั้งได้ยอมรับว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าสูงสุดแต่เพียงพระองค์เดียวอันเป็นการปูทางเพื่อไห้เราได้เข้าใจเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าได้ทรงรักษาให้หายคนโรคเรื้อนสิบคนและมีเพียงคนเดียวซึ่งเป็นชาวสะมาเรียกลับมาขอบพระคุณพระองค์พลางถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
ในประเทศอิสราแอลสมัยพระเยซูเจ้า…คนที่เป็นโรคเรื้อนจะได้รับการขอร้องให้อยู่ห่างจากคนอื่นๆและต้องร้องป่าวประกาศให้คนอื่นทราบด้วยว่าตนเป็นโรคเรื้อนขณะที่กำลังจะเข้าใกล้ชุมชนที่มีคนอยู่และถ้าหากคนโรคเรื้อนคิดว่าตนได้หายจากการเป็นโรคเรื้อนแล้วก็จะต้องแนะนำตัวให้กับพระสงฆ์ซึ่งสามารถเป็นผู้ประกาศว่าเขาได้หายจากโรคเรื้อนแล้ว(ลนต14)
ยนาอามันชาวซีเรียเมื่อได้รับการรักษาให้หายจากโรคเรื้อนด้วยคำบอกของท่านประกาศกเอลีชาแล้วเขาก็ได้รับความเชื่อในพระเจ้าของชาวอิสราแอลและก่อนจะกลับไปประเทศของตนเองก็ได้ไปขอบคุณท่านประกาศก… เช่นเดียวกับที่คนโรคเรื้อนทั้งสิบคนก็น่าที่จะรู้คุณค่าสิ่งทึ่พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำให้กับพวกเขาและพร้อมใจกันไปขอบพระคุณพระองค์…เมื่อพระองค์ได้ทรงรักษาพวกเขาทุกคนให้หายจากโรคเรื้อนแต่ทำไมอีกเก้าคนถึงคิดไม่ออกว่าจะต้องไปกราบขอบพระคุณพระองค์เช่นเดียวกับคนที่สิบซึ่งเป็นชาวสะมาเรีย
คนโรคเรื้อนชาวสะมาเรียที่พระเยซูเจ้าได้ทรงรักษาให้หายนั้นได้กลับมาหาพระองค์พลางร้องตะโกนสรรเสริญพระเจ้าซบหน้าลงแทบพระบาทขอบพระคุณพระองค์… แล้วพระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า“ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้ารอดพ้นแล้ว”ซึ่งทำให้เขาได้เข้าใจว่าพระเจ้าได้ทรงมาประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขาในองค์พระเยซูเจ้าแล้วและกำลังช่วยเหลือสิ่งสร้างของพระองค์อยู่
แปลกแต่จริงที่คนต่างศาสนาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีๆที่เกิดขึ้นกับตัวเขานั้นเป็นพระพรของพระเจ้าส่วนคนที่อยู่ในศาสนา(ยิว/คริสต์) กลับถือว่าทุกสิ่งดีๆเป็นอะไรที่เขาจะต้องได้รับจากพระเจ้าพระเจ้ามีหน้าที่ที่จะต้องประทานให้กับเขาดังเช่นในกรณีของคนโรคเรื้อนอีกเก้าคนซึ่งพระเยซูเจ้าได้พูดถึงด้วยความน้อยอกน้อยใจว่า“ทั้งสิบคนหายจากโรคมิใช่หรืออีกเก้าคนอยู่ที่ใดเล่าไม่มีใครกลับมาถวายพระเกียรติแด่พระเจ้านอกจากคนต่างชาติคนนี้หรือ?”…และคนต่างชาติคนนี้ที่ได้กลับมาขอบพระคุณพระเจ้าก็คือชาวสะมาเรีย
โดยปรกติทั่วไปเรามักจะเรียกร้องให้คนอื่นรู้จักกล่าวคำ”ขอบคุณ” เวลาที่เราทำอะไรนิดๆหน่อยๆให้กับเขามากกว่าที่เราจะกล่าวขอบคุณคนอื่นสำหรับสิ่งที่เราได้รับนี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวของเราที่เอาแต่รับมากกว่าที่จะให้
พระเยซูเจ้าในพระวรสารทรงเรียกร้องการรู้จักขอบคุณมิใช่สำหรับพระองค์เองแต่เป็นการขอบคุณพระเจ้า…“ไม่มีใครกลับมาถวายเกียรติแด่พระเจ้านอกจากคนต่างชาติคนนี้หรือ?”…ซึ่งทำให้เราได้แลเห็นอย่างชัดเจนว่าพระองค์มิได้คิดถึงตัวพระองค์เองแต่พระองค์กำลังคิดถึงคนโรคเรื้อนทั้งสิบคนนั้นว่าควรจะต้องทำตัวเช่นใด…เป็นเรื่องที่ดีและจำเป็นสำหรับผู้ที่ได้รับสิ่งดีๆว่าเขาผู้นั้นควรจะต้องแสดงออกซึ่งการรู้จักขอบคุณพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องที่ได้หยิบยื่นสิ่งดีๆให้กับตน
พระเจ้าไม่ทรงเรียกร้องว่าเรามนุษย์จะต้องขอบคุณพระองค์สำหรับสิ่งดีต่างๆที่พระองค์ได้ทรงประทานให้แต่พระองค์จะทรงพอพระทัยมากถ้าหากเราสามารถทำเช่นนั้นได้และนี่ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่นักบุญลูกาในวันนี้ได้ชี้แสดงให้เราเห็นว่าพระหรรษทานและพระพรของพระเจ้านั้นมีไว้สำหรับทุกๆคนโดยไม่เลือกเชื้อชาติหรือศาสนา
พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณมิใช่เป็นเพียงแต่กฎเกณฑ์ที่จะต้องถือเพื่อให้มโนธรรมของเราสบายใจเท่านั้นหรือเป็นเพียงแต่อาหารที่ช่วยหล่อเลี้ยงความเป็นหนึ่งเดียวและความเป็นพี่น้องของเราแต่ตามที่ชื่อเรียกบ่งบอกไว้แล้วว่าต้องเป็นพฤติกรรมแห่งการแสดงออกซึ่งการขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับความรักอันมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อมนุษยชาติในองค์พระเยซูคริสตเจ้าและสำหรับการที่เราได้ค้นพบว่าตนเองได้รับการช่วยให้รอดพ้นอย่างเปล่าๆโดยไม่ต้องเสียอะไรเลยจากพระเจ้า
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์