ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา ปี C
ลก18: 9-14…คนเก็บภาษีกลับไปบ้านได้รับความชอบธรรมแต่ชาวฟาริสีไม่ได้รับ…เพราะว่าผู้ใดที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลงผู้ใดที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น
พระเยซูเจ้าได้ทรงเล่าเรื่องเกี่ยวกับชาวฟาริสีกับคนเก็บภาษีซึ่งได้ไปที่โบสถ์เพื่อสวดภาวนา…ชาวฟาริสีได้โอ้อวดว่าตนไม่เหมือนกับคนอื่นๆนั่นก็ย่อมหมายความว่าตนไม่ใช่คนบาป…อย่างไรก็ตามทุกครั้งเวลาที่เริ่มพิธิมิสซาบูชาขอบพระคุณเราต่างก็สารภาพว่าเราเป็นคนบาป…
ข้อคิด…บทอ่านประจำวันอาทิตย์นี้ยังพูดถึงเรื่องของการอธิษฐานภาวนาต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว…ในสังคมที่เงินทองและอำนาจคือทุกสิ่งทุกอย่างส่วนคนที่อยู่ชายขอบของสังคมไม่ว่าจะเป็นคนยากคนจนคนด้อยโอกาสฯลฯก็จะไม่ได้รับโอกาสทางสังคมทั้งจะไม่ได้รับการเหลียวแลด้วย….ในบทอ่านแรกจากหนังสือบุตรสิรา(บสร35: 12-14, 16-18) ก็บอกกับพวกเราว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติกับทุกๆคนอย่างเท่าเทียมกันพระองค์มิได้ให้สิทธิพิเศษแก่คนรวยและคนมีอำนาจแต่อย่างใดแต่พระองค์ทรงสดับฟังคำอธิษฐานภาวนอันต่ำต้อยของคนยากจนน่าสงสารและคนที่ต่ำต้อย
เรื่องอุปมาชาวฟาริสีและคนเก็บภาษีของพระเยซูเจ้ายิ่งแสดงให้เห็นชัดมากยิ่งขึ้นในกรณีที่กล่าวถึงนี้ชาวฟาริสีที่จองหองมั่นใจในผลงานของตัวเองและเพราะอย่างนี้นี่เองที่พวกเขาคิดว่าพระเจ้าทรงเป็นหนี้พวกเขาในเรื่องของการช่วยให้รอดพ้นคืออย่างไรเสียก็ต้องช่วยเขาได้เอาตัวรอด…ส่วนคนเก็บภาษีนั้นไม่มีอะไรที่เขาจะมอบความไว้วางใจได้เขารู้ตัวเองดีว่าตนเป็นคนบาปดังนั้นเขาจึงทุ่มเททั้งเนื้อทั้งตัวไว้ในพระเมตตาของพระเจ้าเขาพูดแต่น้อยแต่ว่าด้วยท่าทีแห่งหัวจิตหัวใจของเขาทำให้เขาเป็นที่สบพระทัยพระเจ้าคำอธิษฐานภาวนาที่ถ่อมตัวของเขาทำให้เขาได้รับความรักและการอภัยโทษจากพระเจ้า
เรื่องอุปมานี้พุ่งเป้าไปยังคนที่ภูมิใจในตัวเองคิดว่าตนเป็นผู้ที่กอร์ปด้วยคุณธรรมพลางดูหมิ่นดูแคลนคนอื่น…ปัญหาของคนชาวฟารีสีอยู่ที่เขาไม่เคยมีความคิดว่าตนต้องการพระเจ้าหรือพระหรรษทานของพระองค์หรือความรักและการให้อภัยของพระองค์เลย
คนชาวฟารีสีในเรื่องอุปมาของพระเยซูเจ้ามิใช่เป็นผู้ร้ายแต่อย่างใดและจริงๆแล้วเขาเป็นคนรักครอบครัวและเป็นคนที่ถือกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดเขาเป็นคนที่ปฏิบัติมากกว่าที่ธรรมบัญญัติเรียกร้องเสียอีกธรรมบัญญัติบอกให้ถือศีลอดอาหารปีละครั้งแต่คนชาวฟารีสีถือศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองครั้งธรรมบัญญัติเรียกเก็บภาษีในบางรายการของรายได้แต่คนชาวฟารีสียอมเสียภาษีในทุกๆเรื่องฯลฯ
ถ้าหากเป็นเช่นนี้แล้วไซร้คนชาวฟารีสีมีความผิดหรือเป็นคนไม่ดีตรงไหน?
ประการแรก…ในท่าทีที่คนชาวฟารีสีมีต่อพระเจ้าเขามีความคิดว่าพระเจ้าเป็นหนี้เขาเพราะเขาได้ทำอะไรต่างๆมากมายให้กับพระองค์
ประการที่สอง…ท่าทีที่เขามีต่อคนอื่นเขาดูหมิ่นดูแคลนคนอื่นคนชาวฟารีสีเป็นคนจองหองไม่มีความสุภาพถ่อมตน…เราต้องไม่ลืมว่าความสุภาพถ่อมตนเป็นผืนดินดีสำหรับคุณธรรมต่างๆที่จะเจริญงอกงามขึ้นในคนชาวฟารีสีเราจะเห็นความหยิ่งยะโสในตัวเองและในเวลาเดียวกันก็ดูถูกคนบาป
ในตัวตนของคนชาวฟารีสีเต็มไปด้วยตัวตนของตัวเองไม่เคยอธิษฐานภาวานาถวายแด่พระเจ้ามีแต่ภาวนาให้กับตัวเองในคำภาวนาของคนชาวฟารีสีมีแต่คำว่า“ฉัน”…สำหรับคนจองหองทะนงตัวในตัวเขาจะไม่มีที่ว่างสำหรับพระเจ้า
ส่วนคำอธิษฐานภาวนาของคนเก็บภาษีเป็นคำอธิษฐานภาวนาตัวอย่างเลยทีเดียวซึ่งเพียงแต่อธิษฐานภาวนาว่า“ข้าแต่พระเจ้าโปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด” นี่ก็เป็นคำอธิษฐานภาวนาที่ดีเลิศและพระเจ้าจะไม่ทรงฟังคำภาวนาเช่นนี้ได้อย่างไรเพราะเขากำลังพูดข้อเท็จจริงอยู่…ถ้าเราสามารถกล่าวว่า“ข้าพเจ้าเป็นคนบาป”ด้วยความจริงใจและด้วยความสุภาพถ่อมตนเราก็จะอยู่ใกล้ชิดพระเจ้ามากยิ่งขึ้น
ท้ายสุดก็อยากจะสรุปว่าคนชาวฟาริสีไปที่พระวิหารมิใช่เพื่ออธิษฐานภาวนาแด่พระเจ้าแต่ไปเพื่อจะได้ประกาศให้ทุกคนได้รับทราบว่าตัวเองเป็นคนดีมากน้อยแค่ไหนส่วนคนเก็บภาษีไปที่พระวิหารเพื่อจะสารภาพบาปผิดของตนเองและวิงวอนขอความรักและพระเมตตาจากพระเจ้า
การคิดว่าตนเองเป็นผู้ชอบธรรมเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งเพราะจะนำไปสู่ความจองหองและจะทำให้ดูหมิ่นดูแคลนคนอื่นๆด้วยทั้งจะเป็นการกีดกันมิให้ตนเองเรียนรู้อะไรต่างๆจากพระเจ้าและจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
การอธิษฐานภาวนาของคนเก็บภาษีน่าจะเป็นแบบอย่างของการอธิษฐานภาวนาของเราเพราะว่าเราทุกคนต่างก็ต้องการความรักความเมตตาจากพระเจ้าอยู่ทุกๆวัน
ขออย่าให้ความจองหองในความสำเร็จตัดขาดตัวเราจากพระเจ้าและจากเพื่อนพี่น้อง
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์