ข้อคิดอาทิตย์ที่ 7 เทศกาลธรรมดาปีA
มธ5: 38-48…จงรักศัตรู(และ) จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน…ท่านจงเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่านทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด…
พระเยซูเจ้าทรงบอกเราว่าพระเจ้าทรงรักบรรดาลูกๆของพระองค์ทุกๆคนลูกๆจะดีหรือเลวก็ไม่สำคัญ…และพระองค์ได้ทรงเร่งรัดให้ลูกๆของพระองค์ได้เลียนแบบความรักที่ไม่เลือกปฏิบัติของพระบิดาเจ้า…เราทุกคนต่างก็รู้ดีว่าความรักแบบที่ว่านั้นใช่ว่าจะสามารถปฏิบัติได้ง่ายๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เราไม่ชอบ
ข้อคิด…เนื่องจากว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นเราจึงต้องเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยและเราจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อเราจะเลียนแบบความใจกว้างของพระเจ้าโดยไม่คิดจะเลือกปฏิบัติและเลือกที่จะแก้แค้นแก้เผ็ดคนอื่นรวมทั้งจะไม่มีใจอิจฉาริษยาผู้อื่นฯลฯ
ในหนังสือเลวีนิติ(ลนต19: 1-2, 17-18)…พระบัญญัติของพระเจ้าที่ว่า“เจ้าต้องรักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนกับที่เจ้ารักตัวเจ้าเอง” ก็จะจำกัดอยู่เฉพาะเพื่อนพี่น้องชาวอิสราแอลเท่านั้นแต่พระเยซูเจ้าได้ทรงขยายขอบเขตของพระบัญญัตินี้ไปยังทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นคนต่างชาติหรือคนต่างศาสนาก็ตามและไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือเพื่อนฝูงก็ตามที…ทำไม?…ก็เพราะว่านี่แหละที่เป็นวิธีการที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ทรงปฏิบัติต่อทุกๆคนพระองค์ทรงแสดงความรักที่เท่าเทียมกันไม่ว่าต่อคนดีหรือคนไม่ดีและการที่พระองค์ปฏิบัติเช่นนี้เหมือนๆกันสำหรับทุกๆคนมิใช่เป็นเพราะว่าพระองค์ไม่ใยดีต่อเรื่องของศีลธรรมแต่เป็นเพราะว่าพระองค์ทรงรักทุกๆคนอย่างไม่มีขอบเขตนั่นเอง
ส่วนนักบุญเปาโล(1 คร3: 16-23) เองก็ได้ให้เหตุผลที่ลึกซึ้งว่าทำไมเราจึงต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกันก็เป็นเพราะว่าเราต่างก็เป็นพระวิหารของพระเจ้าพระจิตเจ้าทรงพำนักอยู่ในตัวเราแต่ละคนและในหมู่คณะที่เราเป็นสมาชิกอยู่และนี่แหละที่เป็นพื้นฐานของความเป็นเอกภาพของพวกเรา
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงกล่าวว่า“อย่าโต้ตอบคนชั่ว” พระองค์ทรงต้องการจะบอกเราว่ามิใช่ให้เราเอาแต่ทนหรือตั้งรับอย่างเดียวเมื่อเราอยู่ในอันตรายหรือถูกทำร้ายเพียงแต่พระองค์ไม่ยอมรับเรื่องของการแก้แค้นและพระองค์ไม่ทรงยอมให้เราเก็บความเกลียดใดๆทั้งสิ้นไว้ในหัวใจของเราไม่ว่าต่อผู้ที่เป็นศัตรูกับเราด้วย…“ขณะที่ท่านนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่นถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้วจงวางเครื่องบูชาไว้หน้าพระแท่นกลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อนแล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น”
เมื่อเราเกลียดใครหรือเกลียดอะไรเราต้องใช้หรือทำให้สิ้นเปลืองพลังงานในตัวเรามากกว่าเวลาที่เกิดอารมณ์ชนิดอื่นๆเราจึงควรจะต้องเก็บพลังงานในตัวเราไว้สำหรับสิ่งที่ดีกว่าเพราะความเกลียดจะไล่ทุกสิ่งทุกอย่างให้ออกไปและมันจะเริ่มกัดกร่อนจิตวิญญาณของเรา
เมื่อพระเยซูเจ้าพูดเกี่ยวกับ“ศัตรู” พระองค์มิใช่จะหมายถึงศัตรูในสงครามแต่พระองค์กำลังพูดถึงใครบางคนที่อยู่ใกล้ตัวเราใครบางคนในครอบครัวของเราในหมู่คณะของเราในที่ทำงานของเราซึ่งทำให้เรารู้สึกยากลำบากในการใช้ชีวิตร่วมกับเขาหรือใครบางคนที่เราพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่อยากจะเจอหน้าเขาหรือคนที่เราไม่อยากจะยกโทษให้เขาหรือคนที่เวลาที่เราพบเขาเรามักจะรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ
ศัตรูของเรามิใช่คนที่เกลียดเราแต่เป็นคนที่เราเกลียดเขา
พระบัญชาของพระเยซูเจ้าที่ว่า“จงรักศัตรูของท่าน” นั้นเป็นการปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยในเรื่องของการใช้ความรุนแรงแต่เป็นการตอบแทนความเกลียดชังด้วยความรักนั้นเป็นอะไรบางอย่างที่ทำได้ยากที่สุดเป็นอุดมการณ์ที่สูงส่งแต่ถ้าทำได้ก็จะทำให้คนๆนั้นมีความสุขใจอย่างมากๆด้วย
ในฐานะที่เราเป็นคริสตชนเราจึงต้องยืนอยู่บนข้างของ“การไม่ใช้ความรุนแรง” อย่างไรก็ตามนี่มิใช่หมายความว่าเราต้องเป็นคนอ่อนแอเอาแต่ทนและตั้งรับการอยู่ข้างของ“การไม่ใช้ความรุนแรง” หมายถึงความเชื่อศรัทธาในพลังของความจริงความยุติธรรมและความรักมากกว่าในพลังของการใช้ความรุนแรงการสงครามการใช้อาวุธและความเกลียดเราจำเป็นต้องพยายามตอบสนองสิ่งที่เลวร้ายที่สุดด้วยสิ่งที่ดีที่สุด
ในฐานะที่เราเป็นคริสตชนเราจะต้องพยายามเลียนแบบความใจกว้างของพระเจ้าโดยพร้อมที่จะให้อภัยอยู่เสมอและจะต้องไม่แก้แค้นหรือรู้สึกจงเกลียดจงชังผู้อื่น…ถ้าหากว่าคริสตชนไม่พยายามที่จะเลียนแบบความรักที่ไม่มีขีดจำกัดของพระเจ้าแล้วไซร้พวกเขาก็จะไม่ดีไปกว่าคนอื่นๆเลย
ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามกว่าความเกลียด พระพรของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เรามีอยู่ในตัวเราแต่ละคนคือพระพรแห่งความรักและสิ่งที่จะสามารถทำลายพระพรนี้ก็จะเป็นอะไรอื่นไม่ได้ถ้าหากว่ามิใช่ความเกลียดชัง
เราไม่ทำลายศัตรูเมื่อเราทำให้เขาเป็นเพื่อน
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์