ข้อคิดอาทิตย์ที่ 3 เทศกาลมหาพรตปีA
ยน4: 5-42…ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้นั้นจะไม่กระหายอีกเลยน้ำที่เราจะให้แก่ทุกคนจะกลายเป็นธารน้ำในตัวเขาไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร…
ในพระวรสารของวันนี้เราจะได้ยินเรื่องราวของการพบปะกันที่น่าประทับใจระหว่างพระเยซูเจ้ากับหญิงชาวสะมาเรีย…ระหว่างการสนทนาพระเยซูเจ้าได้ทรงบอกกับนางถึงพระพรที่พระเจ้าทรงอยากประทานให้กับนาง…พระพรซึ่งพระองค์ทรงเรียกว่า“น้ำทรงชีวิต”…ณบัดนี้และณแท่นบูชานี้เราก็ได้พบปะกับองค์พระเยซูเจ้าและพระองค์ก็ได้ทรงเสนอพระพรอย่างเดียวกันให้กับเราแต่ละคน…ก็ขอให้เราได้ทำตัวของเราให้สมที่จะรับ“พระพรของพระเจ้า”
ข้อคิด…หัวข้อเดียวที่แทรกซึมอยู่ในทั้งสามบทอ่านของพิธีบูชาขอบพระคุณในวันนี้ก็คือพระเจ้าทรงรักเราแม้ในขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่
ในขณะที่ชนชาวอิสราแอลกำลังเร่ร่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดารโมเสสได้จัดหาน้ำให้กับพวกเขาพระเยซูเจ้าเองซึ่งเป็นโมเสสคนใหม่ได้ให้อะไรอะไรบางอย่างที่ดีกว่าแก่ประชาชนคือ“น้ำที่ให้ชีวิต” เพราะจะทำให้ผู้ที่ดื่มน้ำนี้มีส่วนในชีวิตพระ
ในบทอ่านที่หนึ่งเราได้แลเห็นว่าประชาชนชาวอิสราแอลกำลังกระหายน้ำมากจึงได้ต่อว่าโมเสสต่างๆนานาอันแสดงให้เห็นถึงความอกตัญญูของพวกเขาต่อพระเจ้าซึ่งได้ทรงช่วยเหลือพวกเขามาตลอดแต่พระเจ้าเองก็มิได้ลบชื่อของพวกเขาออกไปจากหัวใจของพระองค์ตรงข้ามพระองค์กลับบอกให้โมเสสช่วยจัดหาน้ำดื่มให้กับพวกเขาอันเป็นการแสดงออกถึงความรักอย่างยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาซึ่งได้รับการยืนยันจากท่านนักบุญเปาโลในบทจดหมายของท่านในวันนี้ว่า“พระเจ้าได้พิสูจน์ว่าทรงรักเราเพราะว่าพระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์แทนเราขณะที่เรายังเป็นคนบาป” และเราได้แลเห็นอย่างเด่นชัดในพฤติกรรมที่แสดงออกของพระเยซูเจ้าเองในพระวรสาร
และในพระวรสารของวันนี้เล่าว่าขณะนั้นพระเยซูเจ้าทรงกระหายน้ำตามธรรมชาติเช่นเดียวกับคนทั่วๆไปแต่หญิงชาวซามาเรียที่พระวรสารกล่าวถึงนั้นมีความกระหาย(น้ำ)ที่ลึกซึ้งกว่านั้นนั่นก็คือความกระหายหาของหัวใจนั่นเองดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีของพระเยซูเจ้าที่จะให้อะไรดีๆแก่นางเพื่อดับความกระหายนี้
ก่อนอื่นให้เรามองดูการเข้าหาหญิงชาวซามาเรียของพระเยซูเจ้าว่าเป็นอิริยาบถที่อ่อนโยนและน่าทึ่งอย่างยิ่งพระองค์ได้เข้าหาหญิงชาวซามาเรียจากความอ่อนแอของตัวมนุษย์เองคือพระองค์ได้ขอน้ำสำหรับดื่มจากหญิงนั้นโดยทำนองนี้ก็จะทำให้นางยอมรับพระพรที่พระองค์จะทรงนำเสนอให้กับนางหัวใจของพระองค์ได้ทรงเปิดอ้าสำหรับนางแล้วบัดนี้ก็เป็นเวลาของนางที่จะเปิดหัวใจของนางให้กับพระเยซูเจ้าบ้างและดังนี้การสนทนาระหว่างบุคคลสองคนก็เกิดขึ้นซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
พระเยซูเจ้าได้ทรงปฏิบัติต่อหญิงชาวซามาเรียด้วยความเคารพในศักดิ์ศรีของนางอย่างยิ่งเราจะไม่เห็นท่าทีของการว่ากล่าวและตัดสินลงโทษพฤติกรรมต่างๆของชีวิตของนางจากองค์พระเยซูเจ้าเลย…คนเรายิ่งศักดิ์สิทธิ์มากเท่าใดก็ยิ่งจะพิพากษาตัดสินผู้อื่นน้อยลงเท่านั้นที่จริงตั้งแต่ที่พระองค์แลเห็นนางพระองค์ก็สามารถมองทะลุปรุโปร่งเข้าไปในหัวใจของนางแล้วแต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็มิได้ทรงทำให้นางรู้สึกไม่ดีหรือรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจแต่อย่างใดและนางเองก็มิได้รู้สึกว่านางกำลังถูกพิพากษาตัดสินลงโทษ…นางรับได้และเข้าใจดี
นางคงมีความรู้สึกว่าไม่เคยมีใครให้ความสนิทสนมความเป็นกันเองและความน่ารักเช่นนี้กับตัวเองมาก่อนเลยพระเยซูเจ้าได้ทรงอธิบายชีวิตของนางให้นางฟังแบบเห็นใจนางมากกว่าที่นางเองสามารถจะอธิบายให้ตัวเองได้เข้าใจเสียอีกก่อนที่นางจะได้ตระหนักและเข้าใจชีวิตของตัวเองนางได้แบ่งปันกับพระองค์เรื่องราวทั้งหมดของชีวิตที่แสนเศร้าและยุ่งเหยิงของเธอให้พระองค์ได้ฟัง
ทำไมพระเยซูเจ้าถึงได้เข้าอกเข้าใจนางได้อย่างเห็นอกเห็นใจเช่นนี้?…อาจจะเป็นเพราะว่าเฉพาะคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะสามารถให้อภัยความกระหายในสิ่งที่นำไปสู่ความตายได้
พระเยซูเจ้าสามารถมองทะลุเข้าไปในความเป็นมนุษย์ที่ลึกลับของนางได้มองทะลุเข้าไปในส่วนนั้นของนางที่ถวิลหาความรักที่แท้จริงอ้นเป็นความรักที่แท้และบริสุทธิ์และไร้เดียงสาความรักที่กระหายหาให้ใครบางคนมองนางว่าเป็นบุคคลเป็นมนุษย์มิใช่เป็นสิ่งของนางเป็นหญิงที่มีบาดแผลลึกบาดแผลที่ได้รับจากความสัมพันธ์ที่แตกหักและเห็นแก่ตัวซึ่งเป็นอะไรบางอย่างที่เราสามารถพบเห็นได้ในสังคมมนุษย์ปัจจุบัน
พระเยซูเจ้าทรงพบปะพวกเราณที่ที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้พระองค์กำลังบอกกับเราสิ่งซึ่งพระองค์ได้ทรงบอกกับหญิงชาวสะมาเรียคนนั้น“หากท่านรู้จักของประทานของพระเจ้าและรู้จักผู้ที่บอกท่านว่า‘ขอน้ำดื่มสำหน่อยเถิด’ท่านคงกลับเป็นผู้ขอและผู้นั้นจะให้‘น้ำที่ให้ชีวิต’แก่ท่าน”
เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆที่จะยอมรับความน่าสงสารความอ่อนแอและความบาปของเราอันเป็นเพราะความหยิ่งจองหองของตัวเราด้วยเหตุนี้เราจึงไม่สามารถและไม่อยากที่จะรับ“ของประทานของพระเจ้า” ที่พระเยซูเจ้าปรารถนาที่จะให้เรา
การที่มีคนรักเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเจ้านั้นก็จะทำให้เรามีพลังและความกล้าหาญอย่างน่าประหลาดใจเลยทีเดียวเพราะจะทำให้เราได้สัมผัสกับธรรมชาติที่แท้จริงของเราคือความไม่เป็นอะไรและความไม่มีอะไรในตัวเราและการสัมผัสกับธรรมชาติที่แท้จริงของเราก็จะสามารถทำให้เราได้กลับไปสู่รากเหง้าที่แท้จริงของเราแต่ละคนคือการกลับไปหาพระเจ้านั่นเอง
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์