ข้อคิดวันสมโภชพระจิตเจ้า ปี A
กจ 2:1-11…ศิษย์ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยมและเริ่มพูดภาษาอื่นๆตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด…ประชาชนแต่ละคนได้ยินพวกอัครสาวกพูดภาษาของตน…
วันนี้เป็นวันที่พระเยซูเจ้าได้ทรงซื่อสัตย์ต่อคำมั่นสัญญาที่ได้ทรงให้ไว้กับบรรดาศิษย์ของพระองค์ว่าจะทรงประทานพระจิตศักดิ์สิทธิ์ให้กับพวกเขา…การเสด็จมาขององค์พระจิตเจ้าได้ทำการเปลี่ยนแปลงบรรดาอัครสาวกและพระศาสนจักรก็ได้ถือกำเนิดขึ้น…การสมโภชในวันนี้เป็นการรื้อฟื้นพระพรขององค์พระจิตเจ้าในพวกเราแต่ละคนและในพระศาสนจักรทั้งหมดด้วย
ข้อคิด…นักบุญลูกากล้าที่จะมองดูธรรมประเพณีของชนชาวยิวว่าวันสมโภชพระจิตเจ้าเป็นเหมือนการเฉลิมฉลองการที่พระยาเวห์ทรงประทานธรรมบัญญัติให้กับพวกเขาบนภูเขาซีนัย…ในวันนั้นได้มีลมพัดแรงกล้า มีเปลวไฟและได้มีเสียงประกาศธรรมบัญญัติ ต่อมาเปลวไฟนั้นได้แยกตัวออกเป็นลิ้นไฟ 70 ลิ้นด้วยกันอันสอดคล้องกับ 70 เชื้อชาติของสากลโลกตามความเชื่อถือในสมัยนั้น…ธรรมบัญญัติที่ว่านี้ได้รับการประกาศ มิใช่แก่ชนชาติอิสราแอลเท่านั้น แต่ได้ประกาศให้กับมนุษยชาติทั้งหมดด้วย และในวันที่พระจิตเจ้าเสด็จลงมายังพวกอัครสาวก ก็มีลมพัดกรรโชกแรงและลิ้นไฟที่ได้ลงมายังกลุ่มของพวกศิษย์แต่การประกาศนั้น มิใช่เป็นการประกาศธรรมบัญญัติ แต่เป็นการประกาศข่าวดีที่ได้ยกเลิกคำสาปแช่งของหอบาแบลและเป็นการรวบรวมประชาชาติที่ได้กระจัดกระจายไป ให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกัน
ส่วนสำหรับนักบุญยอห์น…การประทานพระจิตนั้นได้บังเกิดขึ้นในวันปัสกา วันที่พระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับคืนพระชนมชีพซึ่งจริงๆแล้วก็มิได้ขัดแย้งอะไรกับเรื่องเล่าในหนังสือกิจการของอัครสาวกของนักบุญลูกา เพราะทั้งนักบุญยอห์นและนักบุญลูกาต่างก็ได้พูดถึงเรื่องเดียวกันคือพระผู้ได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพได้ทรงประทานพระพรขององค์พระจิตเจ้าและได้ทรงเปิดตัวพันธกิจของพระศาสนจักร…มีแต่เรื่องของวันเวลาที่แตกต่างกันสำหรับทั้งสองท่านเท่านั้น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะทั้งสองท่านต่างมีมุมมองทางเทววิทยาที่ไม่เหมือนกันนั่นเอง จึงมิใช่เป็นประเด็นที่จะต้องนำมาถกเถียงกันให้ยืดยาว
ภาษาใหม่ขององค์พระจิตเจ้า…ภาษาเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากๆอย่างหนึ่งในการสื่อสารของเรามนุษย์…ถ้าหากว่าเราไปในประเทศที่เราใช้ภาษาของเขาไม่ได้ เราก็จะรู้สึกอึดอัดเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไปไหนมาไหน เรื่องอาหารการกิน เรื่องการสื่อสารกับคนอื่นๆ ฯลฯ ตรงข้าม เรากลับรู้สึกเป็นสุขและดีใจเมื่อคนอื่นเขาเข้าใจสิ่งที่เราสื่อสารกับเขา…ส่วนใหญ่แล้วโดยอาศัยการพูดจาที่เรามนุษย์แสดงออกซึ่งความต้องการ อารมณ์ความรู้สึก ฯลฯ ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับรู้
แต่ว่าภาษาเพียงอย่างเดียวก็น่าจะไม่เพียงพอที่จะนำมนุษย์ให้มาอยู่ด้วยกัน เพราะถึงกับมีบางคนพูดว่า “คำพูด บางครั้งก็เป็นต้นเหตุของการเข้าใจผิด” ก็มี ซึ่งยอมหมายถึงว่าแม้เราจะพูดภาษาเดียวกัน ก็มิใช่ว่าเราจะเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะหัวใจและอารมณ์ความรู้สึกของแต่ละคนไม่ได้มีโอกาสมาพบกันและทำความเข้าใจซึ่งกันและกันนั่นเอง
ในทางตรงกันข้าม คนเราแม้จะพูดภาษาที่ต่างกัน ถึงจะเป็นคนแปลกหน้าไม่รู้จักกัน แต่ก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ไม่เพียงแต่จะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น แต่สามารถเป็นพี่น้องกันได้อีกด้วย…และ ณ วันที่มีความปีติยินดี หรือวันที่มีความเศร้าโศกเสียใจอย่างใหญ่หลวง หรือในวันที่มีอันตรายต่อหมู่คณะหรือต่อประเทศชาติ ความแตกต่างทางภาษาก็คงจะต้องถูกยกยอดออกไป เราคงจะต้องยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันและจะต้องร่วมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อที่จะสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆเหล่านั้น
นอกจากคำพูดหรือภาษาซึ่งเป็นวิธีการอันหนึ่งในการสื่อสารแล้ว ก็ยังมีวิธีการอื่นๆอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องหมายและสัญลักษณ์ต่างๆซึ่งสามารถถูกนำมาใช้ในการสื่อสารได้อีกด้วยเช่นเดียวกับในวันที่พระจิตเจ้าเสด็จลงมายังบรรดาอัครสาวกและศิษย์คนอื่นๆของพระเยซูเจ้า…ลมพัดแรงและลิ้นไฟอันเป็นสัญลักษณ์ของพละกำลัง ก็ได้ถูกนำมาใช้ในการสื่อสารด้วย
อย่างไรก็ตาม ภาษาก็ยังมีความสำคัญอย่างมากสำหรับเรามนุษย์อยู่นั่นเอง เราได้รับการบอกเล่าว่าในวันพระจิตเสด็จลงมาทุกคนได้ฟังและเข้าใจพวกอัครสาวก…เพราะป็นภาษาของสันติสุข มิใช่เป็นภาษาของการทำสงคราม…เป็นภาษาของการปรองดองคืนดีกัน มิใช่เป็นภาษาของความขัดแย้งกัน…เป็นภาษาของความร่วมมือกัน มากกว่าของการแก่งแย่งชิงดีกัน…เป็นภาษาของการให้อภัย แทนที่จะเป็นภาษาของการแก้แค้น…เป็นภาษาของความหวัง มากกว่าภาษาของความหมดหวัง…เป็นภาษาของการอยู่ร่วมกัน มากกว่าภาษาของการมีทิฐิ…เป็นภาษาของมิตรภาพ มากกว่าภาษาของความเป็นศัตรูกัน…เป็นภาษาของเอกภาพ มากกว่าภาษาของการแตกแยก…และเป็นภาษาของความรัก มากกว่าภาษาของความเกลียดชัง
ภาษาใหม่ที่ว่านี้ก่อให้เกิดกลุ่มชนแบบใหม่ขึ้น เป็นกลุ่มชนของบรรดาผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสตเจ้า เป็นกลุ่มชนแห่งความเชื่อและความรัก ตามที่มีบรรยายไว้ในหนังสือกิจการของอัครสาวกว่าบรรดาศิษย์รุ่นแรกๆของพระเยซูเจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างเป็น“น้ำหนึ่งใจเดียวกัน” (กจ 1: 14)
โดยอาศัยพระพรของพระจิตเจ้า ประชาชนที่พูดภาษาต่างกัน ต่างก็เรียนรู้ที่จะยืนยันความเชื่อเดียวกันและปฏิบัติความรักด้วยกัน ร่วมใจกันสรรเสริญองค์พระเจ้าเดียวกัน นี่แหละที่เป็นอัศจรรย์ที่แท้จริงของวันพระจิตเสด็จลงมาและจะต้องเป็นอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทุกๆวันในพระศาสนจักรของพระคริสตเจ้า
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์