ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 19 เทศกาลธรรมดาปีA
มธ14: 22-33…เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นมาประทับในเรือ…ลมก็สงบ… “ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริงสงสัยทำไมเล่า?” …
ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบากเราก็มักจะหันไปหาพระเจ้า…แต่เราต้องเรียนรู้ว่าเราต้องหันกลับไปหาพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอมิใช่เฉพาะเวลาที่เราต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์เท่านั้น
ข้อคิด…เรื่องเล่าจากพระวรสารของนักบุญมัทธิวในวันอาทิตย์นี้ได้ให้ความหมายในเชิงสัญลักษณ์คือเรือหมายถึงพระศาสนจักรส่วนบรรดาศิษย์ซึ่งถูกโจมตีจากลมพายุและคลื่นลมทะเลหมายถึงการที่ศิษย์ของพระเยซูเจ้าถูกเบียดเบียนถูกว่าร้าย…แม้ว่าบัดนี้พระองค์ไม่ได้อยู่กับพระศาสนจักรอย่างมีตัวตนเหมือนเมื่อครั้งก่อนโน้น…พระองค์อยู่ในสวรรค์กำลังเสนอคำวิงวอนแด่พระบิดาเจ้าแทนพวกเราอยู่อย่างไรก็ตามในยามที่พวกเราต้องการเรียกหาพระองค์พระองค์ก็จะเสด็จมาหาพวกเราในรูปแบบต่างๆอันจะทำให้ความกลัวของพวกเราสงบลงพลางนำความชื่นชมยินดีและสันติสุขแห่งจิตใจมาให้
เรื่องราวในพระวรสารวันนี้ที่พูดถึงนักบุญเปโตรกำลังจะจมน้ำและได้รับการช่วยเหลือจากองค์พระเยซูเจ้านั้นบางทีอาจจะสามารถไปเชื่อมโยงกับความผิดพลาดของท่านที่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งพระทรมานของพระองค์ทั้งการได้รับการฟื้นฟูให้กลับเข้าสู่สภาพที่ดีเหมือนเดิมหรือดียิ่งกว่าเดิมหลังจากการเสด็จกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์แล้ว
อย่างไรก็ตามนักบุญเปโตรก็เป็นตัวแทนและเป็นตัวอย่างสำหรับผู้ที่เป็นศิษย์ขององค์พระเยซูเจ้าซึ่งบางทีก็มีทั้งความเชื่อและความเคลือบแคลงสงสัยในพระองค์ไปพร้อมๆกัน…คำตำหนิของพระเยซูเจ้าที่ว่า“ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง! สงสัยทำไมเล่า?” เป็นคำตำหนิของพระเยซูเจ้าสำหรับพวกเราทุกๆคนด้วยที่บ่อยๆครั้งเรามักจะเริ่มต้นด้วยความฮึกเหิมมั่นใจแต่พอต้องมาพบกับวิกฤติอะไรบางอย่างก็จะทำให้เราเสียกำลังใจไปเลย และไม่อยากที่จะเดินหน้าอีกต่อไป
มีพวกเราหลายๆคนคงจะคิดไปว่าถ้าหากเราจะได้มีความเชื่อที่แท้จริงทุกสิ่งทุกอย่างก็คงจะง่ายไปหมดสำหรับเราแต่ว่าในความเป็นจริงก็คงจะไม่ได้เป็นอย่างที่ว่านั้นไปหมดเสียทีเดียวความเชื่อศรัทธาไม่ได้เป็นเกราะกำบังที่ป้องกันตัวเราจากความทุกข์ยากลำบากต่างๆของชีวิตหรือให้เราไม่ต้องทนทุกข์หรือไม่ต้องตายก็ไม่ใช่…แต่ความเชื่อศรัทธาจะช่วยเราให้สามารถสู้ทนและยอมรับความทุกข์ยากลำบากนั้นได้ต่างหาก
เราสามารถแลเห็นกรณีนี้ได้อย่างเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องราวของท่านประกาศกผู้ยิ่งใหญ่“เอลียาห์” ในบทอ่านที่หนึ่งแน่นอนท่านประกาศกเอลียาห์เป็นบุคคลแห่งความเชื่อศรัทธาจริงๆอย่างไม่ต้องสงสัยแต่เนื่องจากว่าท่านได้ทำการต่อสู้กับการนับถือพระเท็จเทียมพระราชินีของชนชาวอิสราแอลในยุคสมัยของท่านต้องการจะเอาชีวิตท่านท่านจึงต้องหนีไปในที่เปลี่ยวไปหลบภัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งท่านได้ถูกข่มเหงจองล้างจองผลาญจนกระทั่งได้บ่นกับตัวเองว่าอยากจะตายไปเสียให้พ้นๆอย่างไรก็ตามในถ้ำแห่งนั้นท่านได้มีประสบการณ์แห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าซึ่งทำให้ท่านได้มีพละกำลังและกำลังใจขึ้นใหม่ที่จะต้องเดินหน้าต่อไป
และเราก็ได้แลเห็นปรากฏการณ์แบบเดียวกันในกลุ่มคริสตชนรุ่นแรกๆพวกเขาเป็นคนแห่งความเชื่อศรัทธาจริงๆแต่ถึงกระนั้นพวกเขาเหล่านั้นก็ต้องพบกับการถูกเบียดเบียนซึ่งทำให้พวกเขาคิดว่าพระเจ้าได้ทรงทอดทิ้งพวกเขาความเชื่อศรัทธาของพวกเขาได้ถูกทำให้สั่นคลอนแต่จริงๆแล้วแม้พระเจ้ามิได้ประทับอยู่กับพวกเขาอย่างแบบมีตัวตนจริงๆพระองค์ก็ยังเป็นกำลังใจคอยช่วยเหลือพวกเขาอยู่เป็นความเชื่อศรัทธาของพวกเขาที่มีต่อพระเยซูเจ้าพระอาจารย์ซึ่งได้รับการปลุกเร้าขึ้นมาใหม่อันทำให้พวกเขาสามารถเผชิญหน้ากับอุปสรรคและภัยอันตรายต่างๆ
เรื่องราวแบบอย่างของนักบุญเปโตรในพระวรสารก็เช่นกันเป็นอะไรที่ปลุกเร้าสำหรับบรรดาคริสตชน…เรื่องราวของท่านที่กำลังจะจมน้ำและพระเยซูเจ้าได้ทรงช่วยไว้นั้นบางทีเราก็อาจจะรู้สึกแปลกๆแต่ก็ให้ข้อคิดที่ดีๆแก่เราคือบางทีในหลายๆครั้งที่เราคิดว่าเรามีความเชื่อศรัทธาในองค์พระเยซูเจ้าแต่พอวันเวลาในชีวิตของเราค่อยๆผ่านพ้นไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรามีปัญหาชีวิตและต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเราก็จะพบว่าตัวเราเองช่างมีความเชื่อศรัทธาน้อยนิดจริงๆเราจำเป็นต้องหันกลับมาสำรวจดูตัวเราเองว่าความเชื่อศรัทธาที่เรามีนั้นเป็นความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าจริงๆหรือเปล่าหรือว่าเป็นความเชื่อศรัทธาแต่เพียงเปลือกนอก…เพราะในห้วงเวลาแห่งความอ่อนแอของความเชื่อศรัทธาของเรานี้แหละจะเป็นบททดสอบที่แท้จริงถึงประสบการณ์แห่งพลังของพระเจ้าและประสบการณ์แห่งการช่วยให้รอดพ้นของพระเจ้าในตัวเรา
ความเชื่อศรัทธาไม่ได้ช่วยเราให้พ้นจากการถูกทดลองและความทุกข์ยากลำบากต่างๆแต่ว่าสิ่งที่ความเชื่อศรัทธาได้ให้เราก็คือพละกำลังและความมั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาและความเจ็บปวดต่างๆในชีวิต…คนที่มีความเชื่อศรัทธาจะมีแหล่งแห่งพละกำลังและแรงบันดาลใจจากพระเจ้าและจากพระเยซูเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปัญหาชีวิตเกิดขึ้นมามิใช่เป็นเราที่คอยพยุงรักษาความเชื่อศรัทธานั้นไว้แต่เป็นความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าที่จะคอยพยุงรักษาตัวเราให้เอาชนะเหนือปัญหาและความทุกข์ยากลำบากต่างๆเหล่านั้น
ท่านมหาตมะคานธีได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า“คนที่มีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าแค่เพียงเท่าเมล็ดพืชเล็กๆก็จะไม่มีวันสูญเสียความหวังและความมั่นใจเลย”
เรื่องราวในพระวรสารวันนี้ได้แสดงให้เราได้เห็นถึงพลังอำนาจแห่งความเชื่อศรัทธาทั้งยังได้แสดงให้เราได้แลเห็นสิ่งที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำสำหรับศิษย์ของพระองค์เมื่อลมพายุแห่งชีวิตถาโถมเข้าใส่พวกเขา…สำหรับผู้ที่มีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าในองค์พระเยซูเจ้าพระบุตรพระเจ้าที่ทรงประทับอยู่กับเรา…พระองค์จะคอยช่วยเหลือให้กำลังใจและสนับสนุนพวกเราขณะที่เรากำลังเดินทางแห่งชีวิตมุ่งสู่พระอาณาจักรพระเจ้า
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์