ข้อคิดอาทิตย์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา ปี A
มธ25: 14-30…ดีมากผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อยเราจะให้จัดการในเรื่องใหญ่ๆจงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด…
พวกเราแต่ละคนซึ่งมาชุมนุมกันอยู่รอบๆพระแท่นบูชาขององค์พระเยซูคริสตเจ้าไม่มีใครที่เหมือนกันกับอีกคนหนึ่งในทุกอย่างและในทุกเรื่องพระเจ้าได้ทรงประทานพระพรให้แก่แต่ละคนไม่เหมือนกันถ้าหากเราจะใช้พระพรเหล่านี้อย่างดีก็จะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตัวเราเองและแก่คนอื่นด้วย…มีใครบ้างในพวกเราที่สามารถพูดได้ว่าเราได้ใช้พระพรแห่งพระหรรษทานและธรรมชาติที่พระเจ้าได้ทรงประทานมาให้อย่างดีมีประโยชน์?
ข้อคิด…ขณะที่กำลังใกล้จะสิ้นสุดปีพิธีกรรมพระศาสนจักรผู้เป็นมารดาและมีความหวังดีต่อลูกๆของท่านก็อยากจะเตือนสอนลูกๆของท่านให้คิดถึง“เหตุสุดท้าย” ของมนุษยชาติคือความตายการพิพากษาสวรรค์และนรกและเตรียมตัวอย่างดีและเหมาะสมในการรับมือกับสถานการณ์ที่ว่านี้อันจะเกิดขึ้นเมื่อใดและอย่างไรกับตัวเราในบั้นปลายแห่งชีวิตไม่มีใครรู้…นักบุญเปาโลเชื่อว่าการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระเยซูคริสตเจ้ากำลังจะมาถึงในเร็วๆนี้ดังนั้นท่านจึงเร่งรัดให้ชาวเธสะโลนิกาให้ตื่นเฝ้าเตรียมพร้อมอยู่เสมออย่างไรก็ตามแม้นักบุญมัทธิวจะยอมรับว่าการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระเยซูเจ้าอาจจะถูกชะลอให้ช้าลงไปบ้างแต่ถึงกระนั้นท่านนักบุญก็ได้พูดถึงความจำเป็นที่จะต้องตื่นเฝ้าเตรียมพร้อมเช่นเดียวกันจึงในอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ท่านนักบุญได้ชี้แจงว่าการตื่นเฝ้าเตรียมพร้อมที่ว่านี้หมายความว่าอย่างไร…การตื่นเฝ้าเตรียมพร้อมคือการนำเอาพระวาจาขององค์พระเยซูเจ้ามาปฏิบัติอย่างไม่รอช้าและอย่างเต็มความสามารถส่วนในบทอ่านที่หนึ่งจากหนังสือสุภาษิตนั้นก็ได้กล่าวถึงหญิงซึ่งเป็นแบบอย่างชีวิตที่ดียอดเยี่ยมเพราะเธอได้ใช้พระพรหรือความสามารถที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้อย่างขยันขันแข็งและอย่างมีคุณธรรม
ในพระวรสารวันนี้เราได้ยินได้ฟังเรื่องของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งกำลังจะออกเดินทางไกลจึงเรียกผู้รับใช้มามอบทรัพย์สินให้ดูแลส่วนผู้รับใช้จะเอาทรัพย์ไปทำอะไรไปทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของการริเริ่มของพวกเขาแต่ละคนและในผู้รับใช้ทั้งสามคนที่พระวรสารเอ๋ยถึงนั้นเป็นคนที่สามหรือคนสุดท้ายที่พระวรสารได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษซึ่งเชื่อว่าวิธีการที่ปลอดภัยที่สุดก็คือเอาทรัพย์สินของเจ้านายไปฝังไว้ในดินและเมื่อนายกลับมาก็จะไปขุดเอามาคืนให้เจ้านายได้ดังเดิม
เราจะเห็นว่าในเรื่องอุปมานี้พระเยซูเจ้ากำลังพุ่งประเด็นไปที่พวกคัมภีราจารย์และชาวฟาริสีซึ่งคิดแต่จะรักษาธรรมบัญญัติไม่ให้ใครแตะต้องได้โดยไม่ยอมให้มีการยืดหยุ่นหรือปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆของสังคมด้วยท่าทีแบบนี้ของพวกเขาพระเยซูเจ้าจึงได้ทรงตำหนิพวกเขาอย่างรุนแรงว่าเป็นการทำร้ายและทำลายชีวิตของประชาชน
ไม่มีศาสนาใดที่ไม่มีความเสี่ยงและไม่มีการเผชิญกับภัยอันตรายต่างๆจากศาสนิกชนของตนและจากสภาพแวดล้อมของสังคมฯลฯ…แต่ว่าความพร้อมที่จะยอมเสี่ยงและเผชิญกับภัยอันตรายต่างๆเป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของความเชื่อ
เรื่องอุปมาได้พูดถึงพระเจ้าในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นนายของผู้รับใช้ด้วยเพราะเป็นพระองค์เองที่ได้ทรงประทานพระพรต่างๆที่แตกต่างกันไปให้กับเรามนุษย์ไม่สำคัญว่ามนุษย์แต่ละคนได้รับพระพรอะไรแต่สำคัญอยู่ที่ว่าเรามนุษย์จะใช้พระพรนั้นอย่างไรในการรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ในเรื่องอุปมานี้ดูคล้ายๆกับว่าพระเจ้าทรงเป็นนักเสี่ยงโชคที่ยอมมอบพระพรของพระองค์ให้กับเรามนุษย์เพราะไม่มีการรับประกันว่าพระองค์จะได้รับคืนสิ่งที่พระองค์ได้ทรงลงทุนไปซึ่งในเรื่องนี้พระองค์ก็ต้องเสี่ยงเอาเหมือนกัน
เรื่องอุปมานี้ยังแสดงให้เราได้แลเห็นถึงท่าทีที่แตกต่างกันของผู้รับใช้ที่ได้รับมอบฝากทรัพย์สินของเจ้านายไว้คนรับใช้สองคนแรกมีท่าทีต่อเจ้านายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคนรับใช้ที่สามผู้รับใช้สองคนแรกรู้ดีว่าเจ้านายของตนคาดหวังจากพวกเขาให้ช่วยทำให้ธุรกิจของนายได้งอกเงยขึ้นส่วนผู้รับใช้คนที่สามนั้นมิได้มีความคิดดังที่ว่านี้เพราะเห็นว่าเจ้านายของตนเป็นคนดุร้ายเข้มงวดเขามีความกลัวเจ้านายของตนจึงคิดว่าวิธีการที่ดีที่สุดก็คือพยายามไม่เสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความเสียหายให้กับทรัพย์สินที่เจ้านายได้มอบหมายให้กับตนแต่ว่าจริงๆแล้วการที่เขาเอาทรัพย์สินของเจ้านายไปฝังดินเสียก็เท่ากับว่าเป็นการฝังตัวเขาเองด้วย
เราสามารถถามตัวเราเองว่าเรามีจินตนาการอย่างไรเกี่ยวกับพระเจ้าและพระองค์ทรงมีอิทธิพลต่อท่าทีและพฤติกรรมของเราอย่างไรบ้าง?
พระเจ้าทรงเป็นเจ้านายที่เข้มงวดซึ่งเรียกร้องให้เราคืนให้กับพระองค์ทุกบาททุกสตางค์สิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานให้กับเราหรืออย่างไร?
ชีวิตแห่งความเชื่อของเราเป็นชีวิตแห่งความกลัวหรืออย่างไร?
ความคิดเช่นที่ว่านี้จะต้องไม่ใช่รูปแบบที่ถูกต้องแห่งความเชื่อของคริสตชนที่มีต่อพระเจ้าเพราะความเชื่อของเราเริ่มจากพระเจ้าซึ่งทรงรักเรามนุษย์ถึงกับยอมเสี่ยงประทานพระบุตรของพระองค์แต่พระองค์เดียวให้เสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์เฉกเช่นพวกเราทั้งยอมให้องค์พระบุตรได้ใช้พระพรต่างๆของพระองค์เองในการปฏิบัติพระภารกิจของพระองค์ที่ได้รับจากพระบิดาบนโลกนี้อย่างอิสระเสรีพระเจ้าก็ทรงกระทำกับเรามนุษย์ในลักษณะที่คล้ายคลึงกันนี้เหมือนกันดังนั้น
โดยหน้าที่ของเรา ก็คือพยายามที่จะคืนให้กับพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงคาดหวังจากเรา ในเวลาและสถานที่ ที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้แล้ว สำหรับชีวิตของแต่ละคน
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์