ข้อคิดอาทิตย์(ใบลาน) พระทรมานของพระเยซูคริสตเจ้าปีB
มก11: 1-11 และมก14:1-15, 47…โฮซันนาขอถวายพระพรแด่ผู้มาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าขอพระพรจงมีแด่พระอาณาจักรที่กำลังจะมาถึงของกษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษของเราโฮซานนาณสวรรค์สูงสุด…ท่านทุกคนจะทอดทิ้งเรา…แต่เมื่อเรากลับคืนชีพแล้วเราจะไปยังแคว้นกาลิลีก่อนหน้าท่าน
ในวันนี้คริสตชนทั่วโลกทำการเฉลิมฉลองพระทรมานของพระเยซูคริสตเจ้าด้วยการแห่แหนพระองค์ด้วยกิ่งปาล์มเข้ากรุงเยรูซาเล็มนครศักดิ์สิทธิ์เพื่อรับทนทรมานสิ้นพระชนม์และกลับคืนพระชนมชีพ…นี่เป็นฉากแรกของช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตของพระองค์ซึ่งกำลังจะถูกทอดทิ้งจากศิษย์ของพระองค์เองและดูเหมือนว่าจากพระบิดาเจ้าด้วย…บุตรแห่งมนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
ข้อคิด…วันอาทิตย์พระทรมานของพระคริสตเจ้าหรือวันอาทิตย์ใบลานเป็นวันฉลองที่ไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นวันเดียวกันของทุกๆปีแต่จะเป็นวันอาทิตย์ก่อนวันอาทิตย์ปัสกาหนึ่งสัปดาห์วันฉลองนี้เชิญชวนให้เราได้รำลึกถึงเหตุการณ์หนึ่งซึ่งได้มีเล่าไว้ในพระวรสารทั้งสี่คือมก11: 1-11, มธ21: 1-11, ลก19: 28-44 และยน12: 12-19เป็นการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้มีชัยของพระเยซูเจ้าในช่วงเวลาก่อนพระทมหาทรมานของพระองค์
ในวันอาทิตย์พระมหาทรมานของพระเยซูคริสตเจ้านี้ตามวัดต่างๆจะมีการแจกกิ่งไม้เล็กๆหรือใบลานที่สานเป็นรูปต่างๆซึ่งก็ไม่ได้ให้ความหมายเฉพาะเจาะจงเท่าใดนักเกี่ยวกับวันฉลองนี้แก่บรรดาผู้ที่เข้าร่วมพิธี
ตามที่ได้มีเล่าไว้ในพระวรสารว่าก่อนที่พระเยซูเจ้าจะเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่านั้นพระองค์ทรงแวะไปที่บ้านของซีโมนที่เป็นโรคเรื้อนในหมู่บ้านเบธานีขณะที่กำลังประทับที่โต๊ะอาหารก็มีหญิงคนหนึ่งเอานำหอมเทลงบนพระเศียรของพระองค์อันเป็นการชโลมกายของพระองค์ล่วงหน้าก่อนจะถึงเวลาฝังพระศพและพระวรสารสหทรรศน์(3 ฉบับแรก)ได้เล่าว่าพระเยซูเจ้าได้ทรงส่งสาวกของพระองค์สองท่านโดยมิได้เอ่ยชื่อว่าเป็นใครให้ไปจัดหาลูกลาซึ่งยังไม่มีผู้ใดขึ้นไปขี่มาให้พระองค์ตัวหนึ่งและถ้าหากมีใครถามว่าจะเอาลูกลาไปทำไมก็ให้บอกว่าเจ้านาย(พระเยซูเจ้า)ต้องการใช้แต่จะส่งกลับคืนให้ทันทีหลังจากที่ใช้มันเสร็จแล้วพอได้ลูกลามาพวกสาวกก็เอาเสื้อคลุมของตนมาปูบนหลังลูกลาแล้วนั้นพระเยซูเจ้าก็เสด็จทรงลูกลาตัวนั้นเข้ากรุงเยรูซาเล็มพระวรสารได้เล่าต่อไปว่าพระองค์ได้ทรงลูกลาเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างไร…ประชาชนจำนวนมากได้ปูเสื้อคลุมของตนบนทางเดินบางคนก็ตัดกิ่งไม้มาวางบนทางเดินประชาชนทั้งที่เดินไปข้างหน้าและที่ตามมาข้างหลังต่างโห่ร้องว่า“โฮซานนาแด่โอรสของกษัตริย์ดาวิดขอถวายพระพรแด่ผู้มาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าโฮซานนาณสวรรค์สูงสุด”(สดด118: 25-26) ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าพระเยซูเจ้าได้เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มทางประตูไหนนักพระคัมภีร์หลายๆท่านบอกว่าน่าจะเป็นทาง“ประตูทอง”(Golden Gate) เพราะชาวยิวส่วนหนึ่งเชื่อว่าพระแมสสิยาห์จะต้องเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มผ่านทางประตูนี้
เป็นธรรมเนียมที่มักจะปฏิบัติกันในประเทศตะวันออกกลางโบราณที่จะเอาเสื้อคลุมมาปูเป็นทางเดินสำหรับผู้ที่ประชาชนคิดว่าเหมาะสมที่จะได้รับเกียรติสูงสุดนั้นให้เดินผ่านบนทางเดินที่ว่านี้เช่นในหนังสือพงศ์กษัตริย์ฉบับที่2 (9: 13) ได้เล่าว่าเจ้าชายเยฮูโอรสของกษัตริย์เยโฮซาฟัทก็ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เหมือนกันพระวรสารสหทรรศน์และพระวรสารของนักบุญยอห์นได้เล่าว่าประชาชนชาวยิวได้ให้เกียรติพระเยซูเจ้าแบบนี้เหมือนกันอย่างไรก็ตามพระวรสารสหทรรศน์ได้เล่าเรื่องเฉพาะที่พวกชาวยิวเอาเสื้อผ้าและเสื่อมาปูบนถนนให้พระเยซูเจ้าเดินในขณะที่นักบุญยอห์นได้พูดถึงเป็นการเจาะจงว่าพวกเขาได้ใช้กิ่งปาล์มโบกไปมาโห่ร้องถวายเกียรติแด่พระองค์ด้วยในธรรมประเพณีของชนชาวยิวกิ่งใบปาล์มเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและเพราะเหตุนี้ภาพที่ฝูงชนกำลังต้อนรับพระเยซูเจ้าพลางโบกกิ่งปาล์มไปมาและเอาเสื้อผ้าของตนมาปูเป็นทางเดินให้กับพระองค์สำหรับเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มนั้นก็เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของพระองค์ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระแมสสิยาห์และทรงเป็นกษัตริย์สูงสุด
การเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้ชนะขององค์พระเยซูเจ้าซึ่งเราทำการฉลองในช่วงต้นของอาทิตย์พระทรมานนี้เป็นการย้ำเตือนเราว่าองค์ประกอบสามประการคือพระทรมานการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้านั้นรวมเป็นความเป็นจริงอันหนึ่งอันเดียวคือเป็นธรรมล้ำลึกแห่งปัสกาและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้าไม่ใช่เป็นความพ่ายแพ้แต่เป็นชัยชนะ
เป็นเวลาสามปีที่พระเยซูเจ้าต้องจาริกจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งพลางทำสิ่งดีๆให้กับพวกเขาเทศน์สอนพวกเขาและช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ทุกหนทุกแห่งที่พระองค์เสด็จไปก็ห้อมล้อมไปด้วยบรรดาผู้คนที่มาฟังพระองค์เทศน์สอนพระองค์สามารถไปไหนมาไหนตามที่พระองค์ทรงพอพระทัย…แต่เมื่อพระเยซูเจ้ายอมมอบพระองค์เองให้อยูในเงื้อมมือของศัตรูในสวนเกทเสมนีทำให้ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะจบสิ้นเป็นจุดหักเหที่สำคัญสำหรับพันธกิจของพระองค์จากนี้เป็นต้นไปการทนทุกข์ทรมานของพระองค์กำลังจะเริ่มต้นขึ้นซึ่งมิได้อยู่ในการควบคุมของพระองค์อีกต่อไป…พระองค์กำลังจะต้องถูกกระทำมิใช่เป็นผู้กระทำ
พระเยซูเจ้ากำลังจะต้องทนทุกข์อย่างแสนสาหัสอันจะเป็นการบั่นทอนพระบุคลิกภาพของพระองค์และผลักดันพระองค์ให้เข้าสู่ช่วงเวลาอันน่าสพึงกลัวอย่างยิ่งจริงๆแล้วพระองค์สามารถหนีเอาตัวรอดโดยหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มุ่งสู่ทางใต้ไปกรุเยรูซาเล็มเพื่อความอยู่รอดของพระองค์แต่ว่าพระทรมานที่กำลังรอพระองค์อยู่นั้นช่างยิ่งใหญ่กว่าความปลอดภัยและการหนีเอาตัวรอดของพระองค์เองความรักอันร้อนรนที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษยชาติยืนกรานให้พระองค์ต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบครั้งสุดท้ายแห่งความรักของพระองค์นั่นก็คือที่ไม้กางเขน
นักบุญอันดรูว์แห่งครีต ได้กล่าวถึงวันอาทิตย์พระทรมานของพระคริสตเจ้าหรือวันอาทิตย์ใบลานไว้อย่างน่าจับใจว่า… “เราจงออกไปต้อนรับพระคริสตเจ้าพร้อมกันเถิดบนภูเขามะกอกวันนี้พระองค์เสด็จจากเบทานีด้วยพระทัยอิสระของพระองค์ทรงดำเนินไปรับพระทรมานอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ธรรมล้ำลึกแห่งความรอดพ้นของเราสำเร็จบริบูรณ์…พวกเราจงรีบไปต้อนรับพระองค์จงเอาอย่างประชาชนที่ได้มาต้อนรับพระองค์เมื่อครั้งกระโน้นแต่ไม่ใช่โดยการเอาเสื้อผ้าหรือพรมกิ่งมะกอกหรือใบลานปูตามทางที่พระองค์เสด็จแต่ให้เราได้มอบตัวเราเองด้วยจิตใจที่สุภาพถ่อมตนด้วยการหมอบและกราบไหว้นมัสการณแทบพระบาทของพระองค์และดังนี้เราก็สามารถต้อนรับพระวจนาถต์แห่งองค์พระเจ้าที่ไม่มีสถานที่ใดสามารถบรรจุพระองค์ได้…เราจงปูณแทบพระบาทขององค์พระเยซูเจ้าไม่ใช่ด้วยเสื้อผ้าหรือกิ่งมะกอกที่มีชีวิตและน่าดูอยู่เพียงไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็เหี่ยวแห้งอับเฉาไปแต่ให้เอาตัวของเราเองที่สวมใส่พระหรรษทานหรือที่ถูกต้องคือตัวเราที่ได้สวมใส่องค์พระเยซูเจ้าแล้วเพราะเราที่ได้รับศีลล้างบาปในพระคริสตเจ้าเราก็ได้สวมใส่พระองค์โดยใช้ตัวเองเป็นเสื้อผ้าปูณแทบพระบาทของพระองค์ตัวตนที่ได้รับการชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์แล้วด้วยพระโลหิตที่ได้หลั่งออกมาณไม้กางเขนที่ได้ตรึงพระองค์และนี่แหละที่เป็นของถวายที่เหมาะสมอย่างแท้จริงแทนกิ่งไม้ที่เด็กชาวฮีบรูใช้โบกสำหรับต้อนรับและโห่ร้องสาธุการแด่ผู้มาในนามของพระเจ้าสาธุการแด่กษัตริย์ของอิสราเอล”
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์