ข้อคิดอาทิตย์ที่ 2 เทศกาลปัสกาปีB
ยน20:19-31…โทมัสตอบว่า“ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์และไม่ได้เอานิ้วแยงเข้าไปที่รอยตะปูและไม่ได้เอามือคลำที่ด้านข้างพระวรกายของพระองค์ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อเป็นอันขาด”…“องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าและพระเจ้าของข้าพเจ้า”
…คงเป็นความเข้าใจผิดที่เชื่อว่าความเชื่อศรัทธาในองค์พระเยซูเจ้าสำหรับคนที่ได้เห็นพระเยซูเจ้าเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าสำหรับพวกเราที่ไม่ได้เห็นพระองค์เหมือนพวกเขา…พระวรสารเองได้แสดงให้เห็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้เห็นพระเยซูเจ้าแต่ก็ไม่ได้เชื่อในพระองค์เพราะแลเห็นแล้วก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเชื่อเพราะการที่จะเชื่อนั้นเรียกร้องการตัดสินใจ…
ข้อคิด…จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าใครที่อยากจะมีความเชื่อความศรัทธาในพระเจ้าและในองค์พระเยซูเจ้านั้นจะสามารถได้มาง่ายๆพระวรสารได้แสดงให้เห็นว่าแม้พวกอัครสาวกที่ใช้ชีวิตอยู่กับพระเยซูเจ้าก็มีปัญหาในเรื่องของความเชื่อเหมือนกันโทมัสมิใช่เป็นอัครสาวกเพียงคนเดียวที่สงสัยว่าพระเยซูเจ้าได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจริงๆหรือเปล่าอัครสาวกองค์อื่นๆก็มีความสงสัยคล้ายๆกันนักบุญมาระโกบอกพวกเราว่าเมื่อพระเยซูเจ้าได้ประจักษ์ให้กับพวกเขาได้แลเห็นในเวลาเย็นของวันอาทิตย์ปัสกานั้นพระองค์ได้ทรงตำหนิพวกเขาสำหรับความเชื่อยากและความใจแข็งกระด้างของพวกเขาเพราะว่าพวกเขามิได้เชื่อคนที่ได้แลเห็นพระองค์หลังจากที่พระองค์ได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว(มก16: 14)
เราอาจจะเห็นใจพวกอัครสาวกเพราะการที่พระเยซูเจ้าต้องถูกตรึงที่ไม้กางเขนนั้นเป็นการทำลายขวัญและกำลังใจและความเชื่อมั่นศรัทธาในพระองค์จนหมดสิ้นพวกเขาได้ตั้งความหวังไว้อย่างมากในการติดตามองค์พระเยซูเจ้าพวกเขาได้ละทิ้งอาชีพการงานของตนพูดง่ายๆก็คือพวกเขาได้ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะติดตามพระองค์และหวังจะได้เป็นใหญ่เป็นโตถ้าหากพระองค์ประสบความสำเร็จทางการเมืองและจู่ๆพระองค์ก็จากไปเสียอย่างนั้นแหละการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะประเมินได้สำหรับพวกเขาค่านิยมและความหมายของสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสอนพวกเขาไว้กำลังถูกท้าทายอย่างหนักไม่ว่าจะเป็นการเคยร่วมโชคชะตาเดียวกันกับพระองค์การเคยกินอยู่และทำอะไรต่างๆด้วยกันกับพระองค์ความเชื่อมั่นศรัทธาที่มีต่อพระองค์และฃีวิตที่เหลือของพวกเขาแต่นี้ต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครจะรับประกันให้ได้
แต่ว่าสิ่งที่เหลือเชื่อก็ได้บังเกิดขึ้นคือพระเยซูเจ้าได้กลับมาอยู่ท่ามกลางพวกเขาอีกครั้งหนึ่งและสิ่งแรกที่พระองค์ทรงต้องการแสดงให้พวกเขาได้แลเห็นก็คือบาดแผลของพระองค์ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…ประการแรก…ก็เพราะว่าบาดแผลเหล่านั้นจะช่วยทำให้พวกอัครสาวกยอมรับว่าพระองค์คือพระผู้องค์เดียวกันที่ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขนเมื่อสองสามวันก่อน
…และประการที่สอง…บาดแผลเหล่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความรักที่พระองค์ได้ทรงมีสำหรับพวกเขาเพราะความรักจะได้รับการพิสูจน์ด้วยชีวิตหรือการกระทำเท่านั้น
ดังนั้นพระองค์จึงทรงเชื้อเชิญพวกเขา“ให้เข้ามาดูและสัมผัส” พระองค์
แบบอย่างของนักบุญโทมัสเป็นอะไรบางอย่างที่จะช่วยเปิดหูเปิดตาเปิดใจให้เราได้แลเห็นและได้เข้าใจอะไรต่างๆได้มากขึ้นเพราะบ่อยๆแม้ว่าความเคลือบแคลงสงสัยเป็นเครื่องหมายหรือสัญญาณของความอ่อนแอซึ่งทำให้เรารู้สึกตัวว่าเป็นความผิดด้วยแต่ถ้าหากเราจะมองดูในกรณีของท่านความเคลือบแคลงสงสัยก็เป็นอะไรบางอย่างที่จะทำให้ความเชื่อแข็งแรงขึ้นลึกซึ้งขึ้นเพราะหลังจากยอมรับคำเชื้อเชิญของพระเยซูเจ้าแล้วท่านก็ได้แสดงออกถึงความเชื่อศรัทธาในพระองค์อย่างลึกซึ้งที่สุดเท่าที่จะพบได้ในพระวรสารของนักบุญยอห์นด้วยคำกราบทูลว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าและพระเจ้าของข้าพเจ้า”
บนโลกเราใบนี้ไม่มีอะไรในมิติหรือในโลกของจิตที่สามารถให้ความแน่นอนและที่เชื่อได้อย่างเต็มร้อยแต่ถ้าหากมี…ความเชื่อก็คงไม่เป็นประโยชน์อันใดและไม่มีความจำเป็นด้วยซ้ำไปโทมัสเมอร์ตันได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า…ผู้มีความเชื่อที่ไม่เคยมีประสบการณ์ของความเคลือบแคลงสงสัยเลยก็คือผู้ที่ไม่มีความเชื่อ…
หลังจากที่ได้เอาชนะวิกฤติแห่งความเชื่อของตัวเองแล้วนักบุญโทมัสได้กลายเป็นประจักษ์พยานที่กล้าหาญและทรงคุณค่าให้กับองค์พระเยซูเจ้าท่านได้กลายเป็นธรรมทูตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่งของพระศาสนจักรรุ่นแรกๆ…ตามธรรมประเพณีที่ได้รับสืบทอดกันมาท่านได้นำพระวรสารไปสู่ชนชาวเปอร์เซียซีเรียและอินเดียและเชื่อกันว่าที่ประเทศอินเดียนี้เองที่ท่านได้รับมงกุฎแห่งการเป็นมรณสักขีท่านเป็นอัครสาวกที่ได้จบชีวิตลงเพราะความเชื่อ
วันนี้พระเยซูเจ้าทรงเชื้อเชิญเราแต่ละคนให้เข้ามาสัมผัสพระองค์ในความเชื่อและให้จ้องดูที่บาดแผลของพระองค์พระองค์ทรงเรียกเราให้เป็นประจักษ์พยานถึงพระองค์สำหรับเพื่อนพี่น้องคนอื่นๆด้วยงานของเราคือทำอย่างไรที่จะให้องค์พระเยซูคริสตเจ้าสามารถแลเห็นได้ในโลกและเมื่อเพื่อนพี่น้องของเราได้แลเห็นพระองค์ในตัวเราแล้วพวกเขาก็จะได้รับการผลักดันให้ออกไปประกาศพระองค์ให้กับเพื่อนพี่น้องคนอื่นๆต่อไป
โลกมนุษย์ของเราในทุกวันนี้เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัยและผู้ไม่มีความเชื่อมากมายหนทางเดียวที่พวกเขาจะกลับใจมามีความเชื่อคือถ้าพวกเขาสามารถ“เห็น”องค์พระเยซูเจ้าและ“สัมผัส”พระองค์ในบรรดาศิษย์หรือผู้ติดตามพระองค์และถ้าบรรดาศิษย์ขององค์พระเยซูเจ้าไม่มีบาดแผลแห่งความรักที่จะแสดงให้พวกเขาได้เห็นบรรดาพวกที่ไม่มีความเชื่อก็คงจะไม่ยอมจำนนต่อคำพูดหรือหลักฐานแห่งชีวิตของบรรดาผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นศิษย์ของพระองค์เป็นแน่
ขอให้พวกเราสมที่จะเป็นคนหนึ่งในจำนวนผู้คนที่พระเยซูเจ้าทรงประกาศยืนยันว่า“เป็นผู้มีบุญ”ที่“แม้ไม่ได้เห็นแต่ถึงกระนั้นก็ได้เชื่อ”
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์