ข้อคิดอาทิตย์ที 6 เทศกาลปัสกา ปี B
ยน 15:9-17…นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกันเหมือนที่เรารักท่าน ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย…
พระวรสารของวันนี้เตือนใจเราให้รำลึกถึงพระบัญญัติซึ่งพระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงมอบไว้ให้กับบรรดาศิษย์ของพระองค์“ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน”…เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้ทรงรักเราก่อน และขณะที่เรากำลังรำลึกถึงความรักที่พระเจ้าได้ทรงมีต่อเราในองค์พระคริสตเจ้านั้น ก็ขอให้เราได้มีจิตสำนึกที่จะตอบสนองความรักนั้นด้วยการรักกันและกัน…
ข้อคิด…กลุ่มคริสตชนกลุ่มแรกของพระศาสนจักรเป็นชนชาวยิวเกือบทั้งหมด และเมื่อมาถึงจุดๆหนึ่ง ก็เกิดมีจุดหักเหขึ้นมา คือการรับคนต่างศาสนาหรือคนต่างชาติคนแรกเข้ามาในสังคมของพวกเขา…บทอ่านจากหนังสือกิจการของอัครสาวก(กจ 10: 25-26, 34-35, 44-48) เล่าให้เราฟังถึงศีลล้างบาปของโครเนลีอุส พร้อมทั้งแสดงให้เห็นว่าการช่วยให้รอดพ้นของพระเจ้านั้น ได้ถูกหยิบยื่นให้กับทุกๆคน…ท่านเป็นคนต่างศาสนาคนแรกที่ได้รับพระหรรษทานแห่งศีลล้างบาป
ในพระวรสาร (ยน 15: 9-17) พระเยซูเจ้าได้ทรงพูดถึงความรักที่ได้ผูกมัดพระองค์กับพระบิดาเจ้าและพูดถึงความรักซึ่งควรจะผูกมัดบรรดาศิษย์กับพระองค์และผูกมัดซึ่งกันและกัน…ความรักของพระเยซูเจ้าเป็นรูปแบบของความรักของพระบิดาเจ้า เป็นความรักซึ่งไม่เห็นแก่ตัวและเป็นความรักที่ถือตามพระบัญญัติของพระองค์…บรรดาศิษย์ของพระองค์ก็ควรจะทำตัวตามแบบอย่างชีวิตของพระองค์
ความนอบน้อมเชื่อฟังเกิดจากความรัก
และความนอบน้อมเชื่อฟังคือความรัก
ข้อพิสูจน์ที่สุดยอดแห่งความรักขององค์พระเยซูเจ้าที่ทำให้บรรดาศิษยของพระองค์ได้แลเห็น ก็คือการมอบชีวิตของพระองค์ให้กับพวกเขาทั้งที่บนกางเขนและในศีลมหาสนิท…และพระองค์ได้ทรงเลือกพวกเขาให้สืบสานต่องานของพระองค์ และพระองค์ได้ทรงส่งพวกเขาออกไปในโลก เพื่อให้บังเกิดผล…ผลแห่งความรัก
ส่วนในบทอ่านที่สอง (1ยน4: 7-10) นักบุญยอห์น อัครสาวกได้บอกกับพวกเราว่าคริสตชนจะต้องรักกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า ความรักเป็นสารัตถะหรือเป็นแก่นแท้ของพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงแสดงความรักของพระองค์เพื่อพวกเรา ด้วยการส่งพระบุตรของพระองค์มายังโลก เพื่อว่าโลกจะได้มีชีวิตเดชะพระองค์ ความรักเป็นวิถีทางเดียวที่เราจะสามารถรู้จักพระเจ้าได้อย่างแท้จริงและมีส่วนในชีวิตของพระองค์
มีเรื่องเล่าว่ามีพี่น้องสองคนทำงานในฟาร์มเกษตร พลางแบ่งผลผลิตและผลกำไรด้วยกัน คนพี่ได้แต่งงานมีครอบครัว ส่วนคนน้องไม่ได้แต่งงาน…อยู่มาวันหนึ่ง คนน้องที่ไม่ได้แต่งงานก็พูดกับตัวเองว่า “เป็นเรื่องไม่ยุติธรรมที่เราจะแบ่งผลผลิตเท่าๆกัน เพราะผมอยู่ตัวคนเดียว แต่พี่ชายของผมมีครอบครัวที่จะต้องดูแล” ดังนั้น คนน้องมักจะออกไปตอนกลางคืนเป็นครั้งคราว เพื่อแอบเอาข้าวจากยุ้งฉางของตน ใส่กระสอบและแบกเอาไปใส่ไว้ในยุ้งฉางของพี่ชาย
ในเวลาเดียวกัน พี่ชายของเขาก็มีความคิดเดียวกัน พลางพูดกับตัวเองว่า “เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่เราจะแบ่งผลผลิตเท่าๆกัน เพราะผมมีครอบครัวที่คอยดูแลผมอยู่ แต่น้องชายของผมอยู่ตัวคนเดียว” คนพี่จึงทำเงียบๆเหมือนกับที่คนน้องทำ โดยที่ไม่รู้กัน
เวลาหลายปีได้ผ่านพ้นไป ต่างคนก็รู้สึกประหลาดใจว่าผลผลิตก็มิได้ลดลงแต่อย่างใด อยู่มาคืนหนึ่ง พี่น้องทั้งสองต่างก็ได้ไปเจอกันโดยบังเอิญและได้ทำให้ทราบเรื่องราวต่างๆที่ได้เกิดขึ้น พี่น้องทั้งสองได้สวมกอดกัน…เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคนเราจะไม่สามารถให้ความรักแก่คนอื่นได้ ถ้าหากว่าเขาจะไม่ได้รับความรักนั้นก่อน…เครื่องทำความร้อนหรือเครื่องทำความเย็นก็เช่นเดียวกัน จะไม่สามารถให้ความร้อนหรือความเย็นได้ ถ้าหากว่าจะไม่ได้รับความร้อนหรือความเย็นนั้นก่อนแล้วจึงค่อยถ่ายทอดออกไป นี่เป็นความจริงสำหรับพระเยซูเจ้าด้วย “ดังเช่นพระบิดาเจ้าได้ทรงรักเรา ดังนั้นเราก็รักพวกท่านด้วย”…ความรักที่พระองค์ได้ทรงแบ่งปันอย่างใจกว้างอย่างที่สุดกับบรรดาศิษย์ของพระองค์และกับเรามนุษย์ทุกๆคนนั้น เป็นความรักที่พระองค์ได้ทรงรับจากองค์พระบิดาเจ้า และจากแม่พระ จากนักบุญโยเซฟและจากคนอื่นๆที่มีชีวิตร่วมสมัยกับพระองค์
มิใช่เป็นเครื่องหมายของความอ่อนแอที่คนเราจะมีความต้องการเรื่องความรัก เราควรจะต้องรับรู้และรู้สำนึกบุญคุณสำหรับความรักที่เราได้รับ…เป็นพระเจ้าที่ได้ทรงรักเราก่อน พระเจ้าทรงรักเรา มิใช่ว่าเพราะเราเป็นคนดี แต่เป็นเพราะว่าพระองค์ทรงเป็นองค์คุณงามความดี…ความเป็นอยู่หรือชีวิตของเราเป็นเครื่องหมายแห่งความรักของพระเจ้า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราต้องทำ ก็คือรับความรักนั้นด้วยความสำนึกในพระคุณของพระเจ้าและพยายามที่จะแบ่งปันความรักนั้นกับเพื่อนพี่น้องคนอื่นๆของเรา
ความรักเป็นการให้อะไรที่ดีๆแก่ตัวเราเองซึ่งจะทำให้ชีวิตของเราบังเกิดผล การปฏิเสธที่จะรัก เป็นการเริ่มที่จะตายทีละเล็กละน้อย มีโอกาสน้อยมากที่จะแสดงความรักความรักของตนเพื่อคนอื่นด้วยการยอมตายเพื่อพวกเขา แต่ว่าทุกคนมีโอกาสที่จะใช้ชีวิตเพื่อคนอื่นด้วยการทำสิ่งเล็กๆน้อยๆให้กับพวกเขาในชีวิตประจำวัน
ความรักเป็นอะไรที่มีค่างวดอย่างมาก…“รัก” เป็นการยอมรับว่าเราควรจะตายอีกความตายหนึ่งก่อนที่เราจะตายจริงๆ หนทางแห่งความรักเป็นหนทางแห่งไม้กางเขน และโดยผ่านทางไม้กางเขนเท่านั้นที่เราจะมุ่งไปสู่การกลับคืนชีพ จึงไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับการที่ต้องทนทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ถ้าเราถูกสอนให้รู้จักรักเพื่อนพี่น้องของเรา เพราะ “รักจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย”
ทุกๆวัน ให้เราอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าว่าดังนี้
“พระเจ้าข้า
โปรดอย่าเพิ่งให้ลูกตาย
เพราะลูกยังไม่ได้รักเท่าที่ควร”
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์