มาทบทวนเรื่องราวความเชื่อ เรื่องราวความรัก
เรื่องราวโดยย่อจากหนังสือทั้ง 73เล่ม
ของพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม (THE OLD TESTAMENT)
29. กษัตริย์ผู้สร้างพระวิหาร คือ “ซาโลมอน” ผู้เป็นราชโอรสของดาวิด พระเป็นเจ้าประทานสติปัญญาอันล้ำเลิศแก่พระองค์ แต่ในขั้นปลายกษัตริย์ “ซาโลมอน” ก็นำชาวอิสราแอลทิ้งพระผู้เป็นเจ้า ไปไหว้นมัสการพระเท็จเทียม
30. กษัตริย์องค์อื่น ๆ ทั้งหมดล้วนแต่ล้มเหลว มีเพียงบางองค์เท่านั้นที่ชื่อตรงต่อพระเป็นเจ้า
31.เมื่อดำเนินมาถึงยุคหนึ่งชาวอิสราแอลได้รวบรวมข้อเขียนที่บรรพบุรุษได้จารึกไว้บนแผ่นหนังบ้าง, บนกระดาษโบราณบ้าง อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่พระผู้เป็นเจ้ามาเกี่ยวข้องกับพวกเขา บันทึกกฎหมายคำเทศน์และกิจการของบรรดาประกาศก เมื่อรวบรวมได้แล้ว เขาใช้อ่านเตือนใจกัน เมื่อพวกเขาชุมนุม
นมัสการพระในพระวิหารถือเป็นหนังสือพระคัมภีร์
32.ในยุคหลังชาวอิสราแอลยังก่อกำเนิดพระคัมภีร์ในรูปแบบสุดท้ายเรียกว่า “หนังสือประเภทปรีชาญาณ” ซึ่งเริ่มพูดถึงชีวิตหน้าเป็นครั้งแรก หนังสือประเภทนี้เกิดมีขึ้นใกล้สมัยพระเยซูเจ้ามาบังเกิดตามสัญญา
33. หนังสือประเภทปรีชาญาณ ได้แก่ ปัญญาจารย์ เพลงชาโลมอน ดาเนียล เป็นต้น
พันธสัญญาใหม่ (THE NEW TESTAMENT)
34. เมื่อพระเยซูคริสต์มาบังเกิด ประเทศอิสราแอลตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรโรมัน มีกษัตริย์เฮรอดเป็นกษัตริย์ของชาวอิสราแอล จักรพรรดิออกัสตัส ชีชาร์ ปกครองโรมัน
35. ยอแซฟ ช่างไม้เป็นเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ดาวิด ได้หมั้นหมายกับมารีอา แต่ก่อนที่ทั้ง 2จะอยู่กินด้วยกันฤทธิ์เดชของพระจิตเจ้า ได้บันดาลให้พระนางทรงครรภ์เทวดาคาเบรียลได้แจ้งข่าวเรื่องนี้ล่วงหน้าแล้วว่าบุตรที่จะเกิดมาจะเป็นพระผู้ไถ่ ยอแซฟตั้งใจจะถอนหมั้น แต่เทวดาของพระเป็นเจ้าบอกยอแซฟในความฝันว่าให้รับมารีอาไว้เป็นภรรยา
36. เมื่อพระนางมารีอาใกล้ถึงกำหนดคลอดบุตร จักรพรรดิออกัสตัสประกาศสำรวจสำมะโนครัว ใครมีต้นตระกูลเดิมอยู่เมืองไหนต้องลงทะเบียนสำมะโนครัวที่เมืองนั้นยอแซฟจึงพามารีอาออกเดินทางไปเมืองเบธเบลเฮมอันเป็นนครกษัตริย์ “ดาวิด”
37. เมื่อมาถึงเบธเลเฮม ไม่มีที่ว่างสำหรับท่านทั้ง 2ตามโรงแรมที่พัก พระนางมารีอาถึงกำหนดคลอดบุตรพอดียอแซฟจึงพาออกไปนอกเมืองอาศัยที่พักสำหรับผู้เลี้ยงสัตว์เป็นที่พักพิงในคืนนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระมหาไถ่ทรงบังเกิดมาในโลกอย่างเงียบสงบในคืนวันนั้น พระนางมารีอาเอาผ้าพันพระกุมารและให้นอนในรางหญ้า
38. มีกลุ่มคนเลี้ยงแกะกำลังเฝ้าแกะของตนเทวดาของพระเจ้าได้ปรากฎออกมา พวกเขาตกใจมาก มีเทวดาปรากฎมาบอกว่า “อย่ากลัวเลยเพราะเรานำข่าวดีมาบอกท่าน ในคืนนี้ ในเมืองของดาวิด พระมหาไถ่ได้ประสูติมา ท่านจะพบพระองค์ มีผ้าพันกายนอนในรางหญ้า” จากนั้นมีเทวดาอีกหลายองค์ ปรากฏมาร้องเพลงว่า
“พระสิริรุ่งโรจน์มีแด่พระเป็นเจ้าในสรวงสวรรค์ และสันติสุขจงมีแด่มนุษย์ผู้มีน้ำใจดีบนแผ่นดิน” พวกชุมพาบาลจึงออกเดินทางไปตามทิศที่ดาวอยู่
39. พวกเขาได้พบทุกอย่างตามที่เทวดาบอก จึงเข้ากราบนมัสการพระองค์ พร้อมกับสัตว์เลี้ยงของเขา
40. มีนักปราชญ์จากบูรพาทิศ พวกเขาทราบว่าดาวดวงนี้เป็นดาวประจำองค์ของผู้ยิ่งใหญ่ เขาจึงตามมาจนถึงเมืองเบรเลเฮม เขาเข้าไปในเมือง และเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮร้อดเพื่อถามหากษัตริย์ที่บังเกิดใหม่ เฮร้อดจึงหลอกพวกนักปราชญ์ให้ไปตามหาเมื่อพบแล้วให้กลับมาบอกเพื่อตนจะได้ไปนมัสการด้วย แต่แท้จริงต้องการกำจัดพระกุมารนั้นเสีย
ติดตามตอนต่อไป………
(บทความนี้เรียบเรียงโดย ป.จันทร์)
พงศ์ ประมวล,ความเชื่ออันเป็นชีวิต
……………………………………………………………………………………………………………….
บทอ่านจากจดหมายถึงเซราปีอองของนักบุญอาทานาส พระสังฆราช
แสงสว่าง ความสุกใส และพระหรรษทานอยู่ในพระตรีเอกภาพ และมาจากพระตรีเอกภาพ
ไม่เป็นการนอกเรื่องที่เราจะพิจารณาธรรมประเพณี คำสอน และความเชื่อของพระศาสนจักรคาทอลิกซึ่งเราทราบแล้วว่าพระเจ้าได้ทรงสถาปนาขึ้น บรรดาอัครสาวกได้ประกาศสอนและบรรดาปิตาจารย์ได้สงวนรักษาไว้ บนความเชื่อนี้ พระศาสนจักรได้รับการสถาปนาและสืบเนื่องต่อกันมา ถ้าใครละทิ้งพระศาสนจักร เขาก็ไม่เป็นคริสตชนทั้งในความจริงหรือในนาม
พระตรีเอกภาพซึ่งเป็นที่รู้จักกันในองค์พระบิดา พระบุตร และพระจิต เป็นองค์ศักดิ์สิทธิ์ครบครัน ปราศจากการเจือปนจากสิ่งภายนอก ทั้งไม่จำกัดอยู่ในผู้สร้างและสิ่งสร้าง หากแต่ประกอบด้วยอานุภาพสมบูรณ์ที่จะสร้างสรรค์และให้พลัง พระธรรมชาติของพระองค์ก็มั่นคงอยู่ได้เอง ไม่แบ่งแยกพลังและกิจกรรมของพระองค์เพราะรวมเป็นหนึ่ง เหตุว่าพระบิดาทรงสร้างสรรค์ทุกสิ่ง โดยทางพระวจนาตถ์ในพระจิตเจ้า ความเป็นหนึ่งเดียวของพระตรีเอกภาพศักดิ์สิทธิ์จึงคงอยู่ด้วยประการฉะนี้ ดังนั้นพระศาสนจักรจึงประกาศพระเป็นเจ้าหนึ่งเดียวผู้ทรงเป็นอยู่ “เหนือสรรพสิ่ง ทางสรรพสิ่งและในสรรพสิ่ง” แน่ละ “พระองค์ทรงดำรงอยู่เหนือสรรพสิ่ง” ในฐานะที่ทรงเป็นพระบิดา องค์ปฐมเหตุหรือต้นกำเนิด “ทางสรรพสิ่ง” หมายความว่าทางพระวจนาตถ์และที่สุด “ในทุกสิ่ง” คือ ในองค์พระจิตเจ้า
เมื่อนักบุญเปาโลเขียนจดหมายถึงชาวโครินธ์ ท่านบรรยายทุกสิ่งถึงพระเป็นเจ้าหนึ่งเดียว คือพระบิดาผู้ทรงเป็นแหล่งที่มาของสรรพสิ่ง เมื่อท่านกล่าวว่า “แม้มีพระคุณหลายอย่างต่างชนิด แต่มีพระจิตองค์เดียวกัน มีบริการหลายอย่าง แต่มีพระเจ้าองค์เดียว และมีงานหลายอย่าง แต่มีพระเป็นเจ้าองค์เดียวทรงบันดาลทุกสิ่งในทุกคน”
แม้พระคุณซึ่งพระจิตเจ้าทรงแจกจ่ายให้แต่ละคน ก็เป็นของประทานของพระบิดาผ่านทางพระวจนาตถ์ เหตุว่าทุกสิ่งที่เป็นของพระบิดา ก็เป็นของพระบุตรด้วย เป็นอันว่าทุกสิ่งที่พระบุตรประทานให้ในพระจิต จึงเป็นของประทานแท้จากพระบิดา ในทำนองเดียวกัน เมื่อพระจิตเจ้าประทับอยู่ในเรา พระวจนาตถ์ก็ประทับกับเราด้วย เมื่อเรารับพระจิต พระบิดาก็อยู่ในพระวจนาตถ์ด้วย และนี่เป็นความหมายของข้อความต่อไปนี้ “เรา (หมายถึงพระบิดาและพระบุตร) จะมาหาเขาและจะพำนักอยู่ในเขา” เหตุว่ามีแสงสว่างอยู่ที่ไหน ความสุกใสก็อยู่ที่นั่น และความสุกใสอยู่ที่ไหน พลังรุ่งโรจน์ของแสงก็ฉายออกจากที่นั้น
ในจดหมายถึงชาวโครินธ์ฉบับที่สอง นักบุญเปาโลได้กล่าวเช่นเดียวกันว่า “ขอให้พระหรรษทานของพระเยซูคริสตเจ้า ความรักของพระเป็นเจ้า และความสนิทสัมพันธ์ของพระจิตเจ้าเจริญอยู่ในท่านทั้งหลาย” เหตุว่า พระหรรษทานและพระคุณ ซึ่งพระตรีเอกภาพประทานให้นั้น ประทานให้โดยพระบิดา ทางพระบุตรและในพระจิต โดยที่พระหรรษทานได้มาจากพระบิดาทางพระบุตรเช่นเดียวกัน ผลที่ตามมาจากพระคุณนี้ ก็มาจากพระจิตเจ้า ถ้าเราได้รับพระจิตแล้ว เราก็มีความรักของพระบิดา พระหรรษทานของพระบุตร และความสนิทสัมพันธ์กับพระจิต…