ข้อคิดประจำวันอาทิตย์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา ปี B
มก 4: 35-41 …ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้? …
…เมื่อพวกอัครสาวกถูกลมพายุโจมตี ก็หันไปหาพระเยซูเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือและก็ได้รับ ครั้งแล้วครั้งเล่าในชีวิต เราก็ถูกลมพายุโจมตีเหมือนกัน ลมพายุที่ว่านี้ก็มักจะออกมาในรูปแบบของการผจญอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั้นเราจึงต้องรู้ว่าเราควรจะต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากพระเยซูเจ้าอย่างไร…
ข้อคิด …ในพระคัมภีร์ การทำให้ลมพายุสงบลงเป็นเครื่องหมายเฉพาะแห่งฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพราะว่าทะเลและคลื่นลมถูกมองว่าเป็นพลังของความชั่วและความสับสนอลหม่านซึ่งพระเจ้าเท่านที่ทรงสามารถกำกับดูแลมันได้(โยบ 38: 1, 8-11) แต่ว่าลมพายุยังหมายถึงการทดลองและความทุกข์ยากลำบากต่างๆซึ่งผู้ชอบธรรมต้องรับทน และพระอานุภาพของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยพวกเขาให้รอดพ้นได้
ในการทำให้ลมพายุสงบลง บรรดาอัครสาวกก็ได้เป็นประจักษ์พยานถึงผลงานที่เฉพาะพระเจ้าเท่านั้นสามารถทำให้สำเร็จได้ และเช่นเดียวกัน อัศจรรย์ก็แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของพระเยซูเจ้าที่มีต่อบรรดาอัครสาวกของพระองค์ นักบุญมาระโกใช้การที่พระเยซูเจ้าทรงทำให้ลมพายุสงบลง เป็นการสอนคำสอนให้กับคริสตชนในสมัยของท่านซึ่งต่างก็รู้สึกว่าพระองค์ได้ทรงทอดทิ้งพวกเขา ให้ได้มีความเชื่อศรัทธาในการสถิตอยู่และในการดูแลเอาใจใส่ของพระองค์
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตยังอยู่ในการกำกับดูแลของเรา เราก็เป็นสุข พลางคิดว่าเรามีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าอย่างมาก เพราะเราสามารถทำตารางเวลาต่างๆของเราได้ และผลลัพธ์ที่ออกมา ก็ราบรื่น เรากำลังสร้างเป้าหมายให้กับตัวของเราเอง บางครั้งเราก็อาจคิดไปว่าเราก็สามารถกำกับดูแลชีวิตของคนอื่นได้ด้วย ถึงกับเชื่อว่าบางทีเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพระเจ้าด้วยซ้ำไป แต่ว่าเมื่อตกเย็นหลังจากที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เมื่อเกิดลมพายุโถมถาเข้ามาซัดฟาดเรือแห่งชีวิตของเรา เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นบนเรือกับพวกอัครสาวก และเรือแห่งชีวิตนั้นกำลังจะจมอยู่รำมะร่อแล้ว เราก็กำลังรู้สึกว่าสิ่งต่างๆทั้งหลายอยู่นอกเหนือการกำกับดูแลของเราเสียแล้ว และผลลัพธ์จะออกมาอย่างไรก็ไม่มีใครรู้
การที่อะไรอยู่นอกเหนือการกำกับดูแล ช่างเป็นประสบการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาเอาเสียเลย ให้ดูง่ายๆเกี่ยวกับการจราจรบนท้องถนนเป็นตัวอย่าง เวลาที่รถติดขยับเขยื้อนไม่ได้ ขณะที่เราจะต้องไปถึงจุดหมายให้ทันเวลานัดหมาย เราก็จะรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์เสีย และเราจะมีความรู้สึกที่ไม่ดีมากกว่านั้น ถ้าหากว่าเรามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพที่ไม่ดีอย่างมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะรู้สึกว่าหมดหวัง เราจะรู้สึกสับสนหมดแรง จะเห็นภาพลางๆของภัยอันตรายที่กำลังค่อยๆคืบคลานเข้ามา โดพเฉพาะอย่างยิ่งความตายซึ่งเป็นอะไรที่เราแต่ละคนไม่เคยมีประสบการณ์กับมันมาก่อนเลย
การที่เราพบตัวเองใสนสภาพการณ์เช่นนี้ ย่อมจะทำให้จิตใจหดหู่และน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แต่ว่าเฉพาะในสภาพการณ์เช่นนี้แหละที่เรากำลังจะค้นพบว่าเรามีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าจริงๆหรือเปล่า? ปฏิกิริยาอันแรกของเราก็คือการคิดว่าพระเจ้าไม่ได้ใส่ใจดูแลเราอีกต่อไปแล้ว พระองค์ได้ทรงทอดทิ้งเราแล้ว
เมื่อสิ่งต่างๆอยู่นอกเหนือการกำกับดูแลสำหรับพวกอัครสาวกแล้ว พวกเขาก็มีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกัน พวกเขาได้มองไปยังพระเยซูเจ้าเพื่อที่จะค้นหาดูว่าพระองค์กำลังหลับอยู่หรือเปล่า บังเอิญแท้ๆที่ความสามารถที่จะหลับได้อย่างลึกๆโดยไม่กับวลกับอะไรทั้งสิ้นท่ามกลางลมพายุ เป็นเครื่องหมายของความไว้วางใจในพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ความเชื่อศรัทธาขององค์พระเยซูเจ้าช่างตรงข้ามกับ “ความเชื่อศรัทธาที่น้อยนิด” ของพวกอัครสาวก พระเยซูเจ้าได้ทรงตำหนิพวกเขาเพราะการขาดความไว้วางใจ และแล้วนั้นพระองค์ก็ได้ทรงบังคับลมพายุให้สงบลง
สำหรับบรรดาคริสตชนรุ่นแรกๆในสมัยนั้น เรื่องการพระเยซูเจ้าทรงบังคับให้ลมพายุสงบลงนี้ เป็นเรื่องที่นำมาใช้กับเรือแห่งชีวิตของพระศาสนจักรและของเราแต่ละคนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว…ในลำดับแรก เรือเป็นรูปแบบของพระศาสนจักรและลมพายุเป็นรูปแบบของการเบียดเบียนที่ถาโถมเข้าใส่พระศาสนจักรด้วยพลังอำนาจต่างๆแห่งความชั่วที่ต้องการทำให้เรือนั้นจมลง บรรดาผู้ที่โดยสารอยู่ในเรือ ต่างก็มีความกลัว และยิ่งเห็นพระเยซูเจ้ายังนอนหลับอยู่อย่างไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้น ความกลัวก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ความเชื่อศรัทธาของพวกเขากำลังถูกท้าทาย สำหรับพวกเขาแล้ว เพียงแต่ขอได้ปลุกให้พระเยซูเจ้าทรงตื่นขึ้นด้วยคำอธิษฐานภาวนาและด้วยความเชื่อศรัทธาและความไว้วางใจในพระองค์ เพียงเท่านี้ก็เป็นการเพียงพอแล้ว
แม้ว่าพระเยซูเจ้าทรงโดยสารอยู่ในเรือพร้อมๆกับพวกอัครสาวก แต่ลมพายุก็ยังคงเกิดขึ้นซึ่งก็มิได้หมายความว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งไม่เหลียวแลพวกเขา ถ้าหากเรามีความเชื่อศรัทธา เราจะต้องไม่สงสัยเลยว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา เราสามารถหันไปขอความช่วยเหลือจากพระองค์ด้วยคำอธิษฐานภาวนาของเรา
เรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงสงบลมพายุนี้ สอนเราให้รู้จักวางไว้ใจในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลมพายุแห่งการทดลองและอุปสรรคต่างๆที่กำลังถาโถมเข้ามาในชีวิตของพระศาสนจักร ของหมู่คณะและของเราแต่ละคน เพียงแต่ขอให้เราได้มีความเชื่อศรัทธาในพระองค์จริงๆเท่านั้น ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสงบลง
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์