บทอ่านจากบทเทศน์ โดยพระสันตะปาปา เปาโลที่ 6 เราประกาศพระคริสตเจ้าแก่ทั่วโลก
“วิบัติแก่ข้าพเจ้าถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศพระวรสาร” เพราะพระคริสตเจ้าเอง ได้ทรงส่งข้าพเจ้ามาเป็นสาวกและเป็นพยานของพระองค์ ยิ่งภาระหน้าที่นั้นอยู่ห่างไกล และยากลำบาก “ความรักซึ่งข้าพเจ้ามีต่อพระเจ้า ก็ยิ่งเร้าใจ” ให้ข้าพเจ้าต้องประกาศว่าพระเยซูทรงเป็น “พระคริสตเจ้า พระบุตรแห่งพระเป็นเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระองค์นี้แหละที่ทำให้เรารู้จักพระเป็นเจ้า ซึ่งเราเห็นไม่ได้ “พระองค์ทรงเป็นผลแรกแห่งสิ่งสร้างทั้งมวล สรรพสิ่งมีความเป็นอยู่ในพระองค์” พระองค์ทรงเป็นอาจารย์และผู้ไถ่มวลมนุษย์ พระองค์ได้ทรงบังเกิดมาเพื่อเรา ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเราและได้ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพจากความตายเพื่อเรา
สรรพสิ่งและประวัติศาสตร์ทั้งสิ้นมาบรรจบกันในพระคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นบุรุษแห่งความทุกข์และความหวัง พระองค์ทรงรู้จักและรักเรา พระองค์ทรงเป็นเพื่อนอยู่ใกล้ๆ เราตลอดชีวิต เมื่อกาลอวสานมาถึงพระองค์จะเสด็จมาเป็นผู้พิพากษาเรา แต่เราก็ทราบด้วยว่า พระองค์จะทรงเป็นความสำเร็จบริบูรณ์แห่งชีวิตของเรา และจะเป็นความบรมสุขยิ่งใหญ่ของเราตลอดนิรันดร
ข้าพเจ้าจะไม่หยุดพูดถึงพระคริสตเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นองค์สัจจะและความสว่างของเรา “พระองค์ทรงเป็นหนทาง ความจริงและชีวิต” พระองค์ทรงเป็นปังเป็นธารน้ำทรงชีวิต ซึ่งบรรเทาความหิวและดับความกระหายของเรา พระองค์ทรงเป็นชุมพาบาลและผู้นำ เป็นแบบอย่างอันดีเลิศ เป็นองค์ผู้ให้กำลังใจและเป็นพี่ของเรา
พระองค์ทรงเป็นมนุษย์เหมือนเรา แต่ครบครันกว่า ซื่อ ยากจน สุภาพ กระนั้นก็ดี เมื่อพระองค์ต้องแบกภาระมากมาย พระองค์ก็ยังเพียรทน พระองค์ตรัสแทนเรา พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ พระองค์ได้ทรงสร้างอาณาจักรใหม่ในอาณาจักรนี้ คนยากจนจะมีสันติสุขในชีวิตร่วมกัน ที่นั่นคนที่มีใจบริสุทธิ์และคนที่เป็นทุกข์โศกเศร้า จะได้รับการเชิดชูและมีกำลังใจ คนหิวโหยจะพบความยุติธรรม คนบาปจะได้รับการอภัย และจะพบว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน
ภาพลักษณ์ซึ่งข้าพเจ้าแสดงแก่ท่านนี้ เป็นภาพลักษณ์ของพระเยซูคริสตเจ้า ในฐานะที่ท่านเป็นคริสตชน ท่านมีส่วนร่วมในพระนามนี้ พวกท่านส่วนมากก็เป็นของพระองค์อยู่แล้ว ข้าพเจ้าจึงขอกล่าวย้ำพระนามนี้อีกครั้งหนึ่งแก่ท่านผู้เป็นคริสตชน ข้าพเจ้าขอประกาศแก่ทุกคนว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นปฐมเหตุและอวสาน เป็นอัลฟาและโอเมกา เป็นพระเจ้าแห่งสากลพิภพใหม่ เป็นกุญแจลึกลับของประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติซึ่งเรามีส่วนอยู่ในนั้น พระองค์ทรงเป็นคนกลาง เป็นสะพานเชื่อมสวรรค์กับโลก เหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์ครบครันกว่ามนุษย์ใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งยังเป็นพระบุตรของพระเป็นเจ้านิรันดร ปราศจากขอบเขต พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระนางมารีย์ พระมารดาของพระองค์บนแผ่นดินนี้ พระนางทรงบุญยิ่งกว่าสตรีใดๆ พระนางยังเป็นมารดาของเราด้วย ในความสัมพันธ์ฝ่ายจิตแห่งพระกายทิพย์
ท่านจงจำไว้ว่า พระเยซูคริสตเจ้านี้แหละ ที่ข้าพเจ้าประกาศอยู่วันแล้ววันเล่า ข้าพเจ้าอยากให้พระนามนี้ก้องไปทั่วแผ่นดินโลกจนถึงกาลอวสาน
ชีวิตเราคล้ายมีประสบการณ์ความเชื่อ ความกลัวเหมือนกับหญิงตกเลือดที่มาระโกเล่าว่า “หญิงคนนั้นรู้สึกกลัวจนตัวสั่นเพราะรู้ดีว่าอะไรได้เกิดขึ้นแก่ตน จึงกราบลงเฉพาะพระพักตร์และทูลให้ทรงทราบความจริงทุกประการ”
พ่อจึงอยากเชิญชวนจากประสบการณ์ที่เรามีลองพูดลองสารภาพกับพระเยซู
ซึ่งการ “สารภาพ” เป็นเรื่องยาก น่ากลัวที่จะเผชิญและต้องมีความสุภาพจริง ๆ จึงจะทำได้ แต่ทันทีที่นางสารภาพความจริงกับพระเยซูเจ้า ความกลัวจนตัวสั่นก็หมดสิ้นไป คงเหลือไว้แต่ความสุขใจอันเปี่ยมล้น อีกทั้งนางยังได้ค้นพบว่าพระเยซูเจ้าทรงพระทัยดีเสียนี่กระไร คำพูดของพระองค์ที่ว่า “ลูกเอ๋ย ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุข หายจากโรคเถิด” คงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของนางจวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ดังนั้นจะเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรเลยที่จะ “สารภาพ” ลองสารภาพกับพระองค์สารภาพกับคนที่เราไว้ใจ
เช่นเดียวกันพ่ออยากสารภาพว่าถ้าเปรียบความเชื่อความศรัทธาที่พ่อมีกับบรรดาบรรพบุรุษของเราแล้วลดน้อยลงทุกทีซึ่งเทรนด์นี้กำลังเกิดขึ้นกับหลายศาสนาเช่นกัน
สาเหตุจากช่องว่างระหว่างวัยที่กว้างขึ้น อันเนื่องจากความต่างของสภาพแวดล้อมที่เติบโตมา สภาพเศรษฐกิจ ขนาดและรูปแบบครอบครัว ความท้าทายของวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีใหม่ที่ส่งผลให้ไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไป อีกทั้งการเข้าถึงข้อมูลที่กว้างขวางกว่าคนรุ่นก่อนหน้า ทำให้คนรุ่นใหม่มีวิธีคิดและมุมมองต่างออกไป พวกเขาตั้งคำถามกับวิธีปฏิบัติดั้งเดิม เพราะได้รับรู้วิธีปฏิบัติอีกหลายแบบที่ต่างออกไป
คงมีคนอยากลสารภาพดังๆอยากให้คนมีความเชื่อวัดหรือพระศาสนจักรควรปรับตัวให้คนเห็นความเชื่อมโยงของความเชื่อกับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป สอนคนให้มีเหตุผลวิจารณญาณในการแยกแยะ ควรใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง แทนที่จะต่อต้าน และเปลี่ยนกรอบความคิดจากที่ว่า “อะไรที่มันดีกับเรา ก็ต้องดีกับคนรุ่นลูกของเรา” แต่ให้ตั้งคำถามว่า “อะไรที่จะนำให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงแก่นความจริงของพระเจ้าได้ดีที่สุด?” แทน…