สมโภชพระนางมารีย์ได้รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ
…เป็นที่ยอมรับกันว่าบรรดาคริสตชนคาทอลิกทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ต่างก็มีความรักความศรัทธาภักดีต่อพระนางมารีย์พรหมจารีเป็นพิเศษซึ่งเราสามารถเห็นได้จากวัดวาอารามและตามบ้านของคริสตชนคาทอลิกซึ่งใช้ชื่อของพระแม่มารีย์ หรือมีรูปปั้นรูปวาดของพระแม่ในวัดในบ้านของตน…และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพระพรพิเศษและเป็นเกียรติจากพระแม่สำหรับอาสนวิหารของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯที่ใช้ชื่อว่า “อาสนวิหารอัสสัมชัญ” หรือ “อาสนวิหารพระนางมารีย์ได้รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ”
ทุกๆปีในวันที่ 15 สิงหาคม พระศาสนจักรคาทอลิกให้บรรดาคริสตชนทำการสมโภชพระนางมารีย์ได้รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ (1950) พระนางเป็นมนุษย์คนเดียวเท่านั้นที่ได้รับเอกสิทธิ์นี้ นอกจากนั้น ก็ยังมีอีกสามวันสมโภชที่พระศาสนจักรคาทอลิกถวายเกียรติให้แด่พระนาง คือ พระนางมารีย์ พระมารดาพระเจ้า (431) พระนางมารีย์ พรหมจารีเสมอ (649) และพระนางมารีย์ ปฏิสนธินิรมล (1854)
…พระสันตะปาปาปีโอ ที่ 12 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1950 ในพระสมณสาสน์ “Munificentissimus Deus” ของพระองค์ ได้ประกาศว่า “พระนางพรหมจารีมารีย์ พระมารดานิรมลของพระเจ้า เมื่อได้จบชีวิตบนแผ่นดินของพระนางแล้ว ก็ได้รับเกียรติเข้าสู่เกียรติมงคลแห่งเมืองสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ”…นี่เป็นความเชื่อศรัทธาอันยาวนานเป็นศตวรรษๆของบรรดาคริสตชน อันเป็นคำอธิบายการเสด็จเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณของพระนางมารีย์อย่างสรุปได้ใจความเป็นอย่างดี
พระสันตะปาปาปีโอ ที่ 12 ได้ทรงกล่าวย้ำว่าเหตุผลทางเทววิทยาสำหรับการได้รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณของพระนางมารีย์ ก็คือการเป็นพระมารดาของพระเจ้าของพระนาง เพราะพระบิดาเจ้าได้ทรงเลือกสรรพระนางมารีย์ผู้นิรมลปราศจากบาป ให้เป็นพระมารดาของพระบุตรของพระองค์ เพราะพระนางมีชีวิตที่ชิดสนิทสัมพันธ์กับองค์พระบุตรอย่างที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระนางทรงให้ความร่วมมืออย่างดียิ่งในการไถ่บาปของมนุษยชาติกับองค์พระบุตร
การที่พระนางมารีย์ได้รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณนี้ สอนเราคริสตชนทุกๆคนให้ตระหนักและเข้าใจว่าโลกใบนี้มิใช่เป็นที่พักพิงหรือบ้านอันถาวรของเรา แต่เป็นที่พำนักในสรวงสวรรค์ต่างหาก ที่ซึ่งเราจะพำนักอยู่ตลอดไปพร้อมกับพระมารดาและพระบุตรของพระนาง นั่นก็คือ ทั้งวิญญาณและร่างกายของเรา ที่จะต้องเน่าเปื่อยผุพังไปพร้อมกับการตายตามกฎของธรรมชาตินั้น จะได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่เพื่อไปเสวยความบรมสุขตลอดนิรันดรในสรวงสวรรค์…แต่สำหรับพระนางแล้ว สิทธิพิเศษของพระนางและการมีส่วนร่วมในหลักการแห่งการร่วมในโชคชะตากับองค์พระบุตรของพระนาง บันดาลให้เกียรติมงคลแห่งมนุษยภาพของพระนาง ได้สำเร็จไปแล้วก่อนถึงเวลานั้น ทว่าสำหรับเราคริสตชนที่มีชีวิตที่เปี่ยมด้วยพระหรรษทานและพระคริสตเจ้าทรงเป็นชีวิตของเราจริงๆ ร่างกายและวิญญาณของเราก็จะได้รับเกียรติมงคลเช่นเดียวกับของพระแม่ แม้ว่าจะช้าไปบ้างก็ตาม
ในปีนี้ เนื่องจากว่าในวันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม 2020 พระศาสนจักรคาทอลิกแห่งประเทศไทยจะมีการอภิเษกสังฆราชของอัครสังฆมณฑลท่าแร่ จึงต้องเลื่อนการสมโภชอาสนวิหารอัสสัมชัญไปเป็นวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม…แต่ที่จริงทางอาสนวิหารได้มีการเตรียมจิตใจของสัตบุรุษอาสนวิหาอัสสัมชัญ (เอกวาร) ในวันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม โดยเชิญคุณพ่อประวิทย์ พงษ์วิรัชไชย (บวชเป็นพระสงฆ์ ครบ 50 ปี) มาเป็นประธานในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ (8.30 น) และในวันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม (ตรงวัน) ก็จะเป็นการสมโภชภายในด้วยพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ (17.00 น) คุณพ่ออนุชา ไชยเดช (บวชเป็นพระสงฆ์ ครบ 25 ปี) เป็นประธาน…ส่วนในวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม…นอกจากจะเป็นวันสมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ฯแล้ว ทางอัครสังฆมณฑลฯก็จะมีพิธีบวชพระสงฆ์ 3 ท่านด้วยกัน เป็นพระสงฆ์ของกรุงเทพฯ สองท่านและอีกหนึ่งท่านของคณะนักบวชธรรมทูตแห่งมารีนิรมล โดยมีพระคาร์ดินัลฟรังซิส เซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช เป็นประธาน…พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ เวลา 10.00 น
ขอให้การสมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณนี้ ได้บันดาลให้เราได้มีกำลังใจในการเจริญชีวิตเป็นลูกที่ดี ที่ศักดิ์สิทธิ์และที่บริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อว่าเมื่อความตายมาถึงและเราจะต้องลาจากโลกนี้ไป เราจะได้ไปเสวยความบรมสุขตลอดนิรันดรในสวรรค์ ณ ที่ซึ่งพระแม่กำลังรอคอยลูกๆของพระนางอยู่.
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์