ข้อคิดอาทิตย์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา ปี B
มก 9: 38-43. 45. 47-48…ผู้ใดเป็นเหตุให้คนธรรมดาที่มีความเชื่อเหล่านี้ทำบาป ถ้าเขาจะถูกผูกคอด้วยหินโม่ใหญ่ถ่วงในทะเล ก็ยังจะดีกว่า…และผู้ใดให้น้ำท่านดื่มเพียงแก้วหนึ่ง เพราะท่านเป็นคนของพระคริสตเจ้า เราบอกความจริงกับท่านว่าเขาจะได้บำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน
ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการสมัยใหม่ได้ช่วยนำให้เรามนุษย์เข้าใกล้กันอย่างรวดเร็วมากกว่าแต่ก่อน อันทำให้เราแต่ละคนได้รับผลกระทบซึ่งกันและกันในเกือบทุกๆด้าน ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงต้องการให้พวกเราหลีกเลี่ยงการเป็นที่สะดุดหรือทำให้เพื่อนพี่น้องต้องหลงเดินไปในทางที่ผิด
ข้อคิด…จากบทอ่านที่หนึ่ง (กดว 11: 25-29) กล่าวถึงสถาบันแห่งผู้อาวุโส 72 ท่านซึ่งเป็นผู้ช่วยโมเสสในการปกครองชนชาวอิสราเอล ท่านเหล่านี้ได้รับจิตวิญญาณแห่งความเป็นผู้นำและความเป็นประกาศกซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้กับโมเสส สาระสำคัญของบทอ่านในวันนี้คือการเลือกสรรของพระเจ้า มิใช่เป็นความดีความชอบส่วนบุคคลที่จะต้องหวงแหนไว้สำหรบตนเองอย่างน่าอิจฉา แต่ว่าเป็นกระแสเรียกเพื่อให้รับใช้พระเจ้าและประชากรของพระองค์
จากเนื้อหาสาระของบทอ่านที่หนึ่ง ก็จะนำเข้าสู่เนื้อหาสาระของพระวรสาร…พระเยซูเจ้าทรงกล่าวถึง “นรก” และเปรียบนรกว่าเป็นเหมือน “เกเฮ็นนา” ซึ่งเป็นหุบเขาลึกใกล้กรุงเยรูซาเล็ม เป็นที่ทิ้งขยะสำหรับเผาอันหมายถึงเป็นสถานที่ทรมานอันโหดร้ายสำหรับคนที่เป็นเหตุให้คนธรรมดาที่มีความเชื่อ ทำบาป…นอกนั้นคนประเภทนี้ก็สมควรจะถูกผูกคอด้วยหินโม่ ถ่วงทิ้งลงทะเลด้วย…คำเตือนของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ ก่อนอื่นหมดก็น่าจะพุ่งเป้าไปที่บรรดาผู้นำทางศาสนาและของสังคมหมู่คณะ และในอันดับถัดไป ก็น่าจะเป็นพวกอัครสาวกและบรรดาศิษย์ของพระองค์…พระบัญชาของพระเยซูเจ้าให้ต้อนรับเด็กเล็กๆและไม่ให้ทำอะไรอันเป็นที่สะดุดต่อพวกเขา เป็นอะไรที่เน้นย้ำถึงการเข้าสู่พระอาณาจักรพระเจ้า
โดยปรกติแล้ว พระวรสารมักจะให้ข้อคิดข้อปฏิบัติที่สำคัญๆสำหรับพวกเราคริสตชน เช่น
- ศิษย์ของพระเยซูเจ้าพยายามที่จะห้ามปรามชายคนหนึ่งซึ่งกำลังขับไล่ปีศาจเดชะพระนามของพระองค์…ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…ก็เพราะว่าพวกศิษย์อิจฉาตาร้อนที่เฉพาะพวกตนมิใช่หรือที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับพระองค์เท่านั้น (คล้ายๆกับบทอ่านที่หนึ่ง) พวกเราคงจะจำได้ถึงท่าทีที่แสดงให้เห็นถึงความใจแคบที่เราคริสตชนคาทอลิกมีต่อคริสตชนนิกายอื่นๆก่อนสภาสังคายนาวาติกันที่สอง
แต่ว่าพระเยซูเจ้าได้ทรงกล่าวกับพวกศิษย์ว่า “อย่าห้ามเขาเลย” เพราะเขาคนนั้นก็กระทำในนามของพระองค์ซึ่งก็หมายความว่าเขาคนนั้นก็มิได้ต่อต้านพระองค์ ในกรณีเช่นนี้พระเยซูเจ้าได้ให้บทเรียนแก่ศิษย์ของพระองค์ว่าควรจะต้องมีใจเปิดกว้างและอดทน เราคริสตชนคาทอลิกต้องคิดอยู่เสมอว่าเรามิได้ผูกขาด “พระเยซูเจ้า” สำหรับพวกเราแต่พวกเดียว
มีหลายๆคนรู้สึกไม่สบายใจกับพระพรหรือความสำเร็จของคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอื่นที่มีพระพรหรือความสามารถที่สูงกว่าและแตกต่างไปจากเราซึ่งจริงๆแล้วมิได้เป็นการลดตัวเราให้ด้อยลง ตรงข้ามกลับทำให้ตัวเราร่ำรวยมั่งคั่งขึ้น ต้องอย่าลืมว่าพระเจ้าทรงประทานพระพรของพระองค์ให้กับเรามนุษย์แต่ละคนอย่างอิสระเสรี ความรับผิดชอบของเราก็คือรู้จักตอบรับและต้อนรับพระพรต่างๆเหล่านั้นด้วยความขอบคุณพระเจ้า - พระเยซูเจ้าได้ทรงกล่าวว่าใครก็ตามที่ให้น้ำเย็นๆแก้วหนึ่งแก่คนเล็กๆ ก็จะได้รับรางวัลเป็นการตอบแทน… “น้ำเย็นๆแก้วหนึ่ง” เป็นสัญลักษณ์ของพฤติกรรมเล็กๆน้อยๆ พวกเราน้อยครั้งมากที่จะได้รับโอกาสทำพฤติกรรมใหญ่ๆโตๆ แต่โอกาสที่เราจะให้น้ำดื่มสักแก้วหนึ่งหรือทำอะไรเล็กๆน้อยๆช่วยเหลือคนอื่นในแต่ละวันนั้น ทำได้มากมายหลายๆครั้ง…พฤติกรรมเล็กๆน้อยๆแห่งความใจดีสามารถเปลี่ยนความร้อนให้เป็นความเย็นชื่นใจสำหรับเพื่อนพี่น้อง พฤติกรรมไม่จำเป็นจะต้องเป็นอะไรที่ใหญ่โตในการที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับคนที่รับ…พฤติกรรมทุกพฤติกรรมแม้ว่าจะเล็กน้อย แต่มาจากหัวใจ ผู้รับจะรู้สึกอบอุ่น
- ต่อจากนั้นพระเยซูเจ้าได้ทรงพูดถึงสาเหตุต่างๆของบาปในตัวของเราเอง ซึ่งก็อาจจะซ่อนอยู่ในตัวของเราเอง ดังนั้นโอกาสของบาป จำเป็นจะต้องหาทางหลีกเลี่ยงให้ถึงที่สุด พระเยซูเจ้าจึงทรงเร่งรัดให้ผู้ฟังพระวาจาของพระองค์ทำการเสียสละอย่างมากๆเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงบาป ถึงขนาดยอมตัดแขนขาหรือยอมควักลูกตาออก ในกรณีนี้พระเยซูเจ้าทรงต้องการที่จะบอกเราว่าบาปหนักควรจะต้องหลีกเลี่ยงอย่างที่สุด…เราควรจะต้องเตรียมตัวที่จะยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อขจัดความชั่วร้ายต่างๆให้ออกไปจากตัวเองสำหรับจะได้เข้าสู่พระอาณาจักรพระเจ้า
ส่วนในบทอ่านที่สองจากจดหมายของนักบุญยากอบ (ยก 5: 1-6) ก็พูดถึงเรื่องของการสะสมทรัพย์สมบัติอันสามารถเป็นสาเหตุของความชั่วร้ายต่างๆหลายๆอย่างด้วยกัน เช่นการไม่ยอมจ่ายค่าจ้าง การใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยโดยละเลยคนที่ยากจนน่าสงสาร ฯลฯ และสามารถเป็นที่สะดุดได้…เราคริสตชนต้องอย่าลืมว่าทรัพย์สมบัติเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่งของเราแต่ละคน…คนที่มีทรัพย์สมบัติจะต้องถูกพิพากษาในสองเรื่องด้วยกัน คือพวกเขาได้ทรัพย์สมบัติมาอย่างไรและพวกเขาได้ใช้ทรัพย์สมบัตินั้นอย่างไร…
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์