ข้อคิดอาทิตย์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา ปี B
มก 10: 2-16…เมื่อแรกสร้างโลกนั้น พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง ดังนั้นชายจะละบิดามารดา และชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน เขาจะไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าแยกเลย…
ศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการแต่งงานเป็นการผูกมัดที่จะแยกออกจากกันไม่ได้ในแผนการและพระประสงค์ของพระเจ้า…ทุกวันนี้การแต่งงานเป็นสถาบันที่ตั้งอยู่บนค่านิยมแห่งความรัก ความเป็นหนึ่งเดียวและการพึ่งพาอาศัยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่ว่าเปราะบางมากๆ แตกสลายได้ง่าย…อย่างไรก็ตาม มีพระเจ้าคอยสนับสนุนให้ความช่วยเหลือด้วยพระหรรษทานของพระองค์ซึ่งสามารถทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ อยู่ได้อย่างยั่งยืนตลอดชีวิต
ข้อคิด…หนังสือปฐมกาลได้พูดถึงสถาบันของการแต่งงานในสองบริบทด้วยกัน…ในบริบทแรก (ปฐก 1: 26-28) ซึ่งมองดูการแต่งงานว่าเป็นวิธีการอย่างหนึ่งของการสืบทอดวงศ์ตระกูล… ส่วนในบริบทที่สอง (ปฐก 2: 18-24) ซึ่งเป็นบทอ่านที่หนึ่ง มองดูการแต่งงานว่าเป็นเหมือนการพบปะกันของความต้องการของเรามนุษย์ที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นเพื่อนร่วมโชคชะตาเดียวกันและอย่างเท่าเทียมเสมอกัน
พื้นฐานของของหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ (ฉธบ 24: 1-4) ชาวฟาริสีได้อนุญาติให้สามีหย่ากับภรรยาของตนด้วยสาเหตุของ “การประพฤติตนอย่างไม่เหมาะสมของหญิง” โดยเรียกร้องให้ไปดูในหนังสือปฐมกาล (1: 27; 2: 24)…และพระเยซูเจ้าได้ทรงเน้นถึงเอกภาพที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยการแต่งงานซึ่งห้ามมิให้ทำลายข้อผูกมัดของการแต่งงาน เพื่อให้แลเห็นว่าการแต่งงานใหม่หลังจากที่ได้ทำการหย่าร้างแล้ว ก็จะกลายเป็นเรื่องของการล่วงประเวณีไป พระเยซูเจ้าได้ทรงทิ้งท้ายให้เราเห็นว่าการแต่งงานที่เป็นอุดมคตินั้นควรจะต้องเป็นเช่นไร และนี่คงมิได้หมายความว่าพระเยซูเจ้าจะมิได้ทรงมีจิตสำนึกว่าอาจจมีปัญหาเกิดขึ้นในการใช้ชีวิตตามอุดมคตินั้น
ในชีวิตที่กำลังเริ่มต้น เมื่อเรายังเป็นเด็กเล็กๆอยู่ เรามีความต้องการอาศัยคนอื่นถ้าหากเราต้องการให้มีชีวิตอยู่รอด และในชีวิตที่กำลังจะจบลงเราก็ยังมีความต้องการอาศัยคนอื่นเช่นกัน และในระหว่างชีวิตของเรามนุษย์ทั้งสองช่วงนี้ เราก็ยังคงต้องการอาศัยคนอื่นอีกเหมือนกันโดยอาศัยครอบครัวและสังคม
พระคัมภีร์ได้บอกเราว่า “ไม่ดีที่เรามนุษย์จะอยู่คนเดียว” บางครั้งก็เป็นเรื่องที่ดีและจำเป็นที่เราจะอยู่คนเดียว แต่คงไม่ใช่ตลอดไปทั้งชีวิตของเรา เพราะ “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” ลำพังตัวเราเอง เราก็ยังมิได้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ความเป็นมนุษย์ไม่สามารถหามาได้ในความโดดเดี่ยว เราต้องการคนอื่นในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เพื่อทำให้ความเป็นมนุษย์ของเราสมบูรณ์ขึ้น การรู้สึกว่าเรามีความต้องการเช่นนี้ มิได้เป็นเครื่องหมายของความขาดตกบกพร่องทางกายภาพหรือทางจิตใจ แต่ว่าเป็นเครื่องหมายของการมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและจิต…ความผิดปรกติของเรามนุษย์เป็นเหมือนเงื่อนไขอย่างหนึ่งที่คนเราไม่สามารถติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่นได้ คนที่ฆ่าตัวตายบ่อยๆมักจะเป็นคนที่พลัดตกลงไปอยู่ในความโดดเดี่ยว
การถูกทอดทิ้งหรือการถูกโดดเดี่ยวเป็นเงื่อนไขที่เจ็บปวดมากที่สุดอย่างหนึ่งของเรามนุษย์ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเราหันมาหาตัวเองอย่างเดียว อันจะนำไปสู่ความรุนแรงและ/หรือหันไปพึ่งยาเสพย์ติดและ/หรือของมึนเมา…ส่วนความกลัว ความอายและการรู้สึกว่าตัวเองผิดทำให้คนเราต้องการอยู่คนเดียว
ณ เวลาแรกเริ่มของการสร้างโลก พระเจ้าทรงให้สัตว์เดรัจฉานเป็นเพื่อนของอาดัม แต่ก็ยังไม่สามารถเป็นที่ถูกใจว่าสัตว์เหล่านั้นเป็นเพื่อนชีวิตที่เหมาะสมกับตนเอง…ได้มีการทำการสำรวจดูผู้สูงอายุในประเทศสหรัฐอเมริกาว่าใคร/อะไรเป็นผู้ที่ใกล้ชิดที่สุดกับพวกมนุษย์…ก็ได้รับคำตอบจากสองในสามคนว่าเป็นสัตว์เลี้ยง “สุนัข/แมว”…ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียจริงๆ
แล้วนั้น พระเจ้าได้ทรงประทาน “หญิงคนหนึ่ง” ชื่อ “เอวา” ให้ “อาดัม” ทันทีที่ “อาดัม” เห็น “เอวา” ก็ยอมรับว่านางคนนั้นเหมาะที่จะเป็นเพื่อนร่วมชีวิตของตน นางได้ถูกสร้างขึ้นจากองค์ประกอบเดียวกันกับตน มีศักดิ์ศรีเช่นเดียวกันกับตน และเป็นอะไรที่เท่าเทียมเสมอกันกับตน…หมู่คณะที่แท้จริงสามารถถูกสร้างขึ้นได้ด้วยอะไรที่เท่าเทียมเสมอกัน
ในการแต่งงาน พระเจ้าได้ทรงสนองตอบความต้องการของเรามนุษย์ด้วยมิตรภาพ ความเป็นเพื่อนกัน ความใกล้ชิดและความอบอุ่น และสิ่งอื่นๆทั้งหลายที่มนุษย์เราอยากจะได้ แต่ก็พบได้ยากลำบากมาก…สิ่งต่างๆที่ว่ามานี้เรามนุษย์สามารถพบได้เมื่อเราประกอบกันขึ้นเป็นสังคมหมู่คณะและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า “พระผู้สร้าง” และเราก็จะไม่ถูกโดดเดี่ยว
เมื่อมนุษย์เราแต่งงานกัน เขาทั้งสองก็นำออกมาซึ่งพลังต่างๆของพวกเขา แต่ในขณะเดียวกันก็นำเอาความอ่อนแอต่างๆของพวกเขาออกมาด้วย พวกเราทุกคนมีบาดแผลด้วยบาปและความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น การเข้าสู่การแต่งงานก็คือการเข้าสู่โรงเรียนแห่งความรัก…โรงเรียนที่เราท่านทั้งหลายจะเป็นผู้เรียนรู้อย่างช้าๆ ความสัมพันธ์ที่ทั้งสองคนประทับตรากันไว้ ณ วันที่แต่งงานกัน มิได้เป็นอะไรที่แตกหักไม่ได้ แต่เป็นอะไรที่เป็นแบบมนุษย์และเปราะบาง ดังนั้นจึงแตกหักได้ ความสัมพันธ์ที่แตกหักไม่ได้นั้น คือความสัมพันธ์ที่พระเจ้าได้ทรงทำกับเราในองค์พระคริสตเจ้า
อะไรที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของชีวิตแต่งงานอ่อนแอลง?…การขาดความเคารพซึ่งกันและกัน การที่ไม่ค่อยได้สื่อสารกัน ความเห็นแก่ตัว และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือความไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน ส่วนสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ของชีวิตแต่งงานมีพลังเข้มแข็งขึ้น ก็คือการให้เกียรติเคารพซึ่งกันและกัน การสื่อสารที่ดี ความไม่เห็นแก่ตัวและความซื่อสัตย์ต่อกัน
ความสัมพันธ์ต่อกันและกัน เป็นอะไรที่คู่แต่งงานที่จะต้องช่วยกันสานต่อไปเรื่อยๆตลอดชีวิต…เราไม่ควรจะต้องกลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นถ้าจะต้องพบกับความยากลำบากในชีวิตแต่งงาน คู่แต่งงานจะต้องแน่วแน่ที่จะไม่ยอมให้ความสำเร็จในเรื่องของเศรษฐกิจอยู่เหนือและมาก่อนชีวิตแต่งงานและบรรดาลูกๆของพวกเขา
การไม่หย่าร้างกันเป็นเรื่องที่จะต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่สุดกำลังจากทุกๆฝ่ายในสังคมเพื่อเห็นแก่ประโยชน์สำหรับบรรดาลูกที่จะต้องได้รับการเลี้ยงดูและเอาใจใส่ดูแลเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกว่าบรรดาสัตว์อื่นๆทั้งหลาย เพื่อกลายเป็นสังคมที่ดีที่น่าอยู่ในอนาคต
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์