ข้อคิดอาทิตย์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา ปี B
มก 10: 17-30…จงไปขายทุกสิ่งที่มี…แล้วจงติดตามเรามาเถิด…
พระวรสารในวันอาทิตย์นี้ทำให้เรารู้ว่าความร่ำรวยในทรัพย์สมบัติ ได้หน่วงเหนี่ยวชายหนุ่มเศรษฐีคนนั้น มิให้กลายเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าได้อย่างไร…เรามาชุมนุมกันในบ้านของพระองค์ ก็เพราะว่าเราเป็นศิษย์ขององค์พระเยซูเจ้า แต่ว่าเรามิได้ติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิดสม่ำเสมอตามที่เราควรจะต้องทำ…อาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่คอยหน่วงเหนี่ยวเรามิให้กระทำเช่นนั้น บางสิ่งบางอย่างนั้นก็อาจจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละคนไม่เหมือนกัน ให้เราได้ช่วยกันไตร่ตรองดูว่าอะไรที่เป็นอุปสรรคในการติดตามพระอาจารย์เจ้า
ข้อคิด…จากบทอ่านที่หนึ่ง หนังสือปรีชาญาณ (ปชญ 7: 7-11) สอนเราให้รู้จักใช้ชีวิตอย่างชอบธรรมได้อย่างไร ทั้งยังสอนให้เรารู้จักใช้สิ่งต่างๆของโลกนี้ในอันที่จะช่วยเราให้ได้บรรลุถึงเป้าหมายที่พระเจ้าได้ทรงวางไว้ให้เราบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องถือว่า “ปรีชาญาณ” ประเสริฐกว่าทองคำและทรัพย์สินเงินทองใดๆของโลกนี้
ส่วนในพระวรสาร (มก 10: 17-30) เป็นเรื่องราวของการเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า…ชนชาวยิวเชื่อว่าความร่ำรวยเป็นเครื่องหมายแห่งพระพรของพระเจ้า แต่ว่าพระเยซูเจ้ากลับบอกว่าทรัพย์สมบัติเป็นเหมือนอุปสรรคเข้าสู่พระอาณาจักรพระเจ้า…ความผูกพันกับทรัพย์สมบัติและความสดวกสบายเป็นอุปสรรคที่สำคัญประการหนึ่งในการเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า คนที่วางใจในตัวเองและในทรัพย์สมบัติ จะไม่มีวันได้รับการช่วยให้รอดพ้น เพราะ “การช่วยให้รอดพ้น” เป็นพระพรของพระเจ้า
เมื่อพระเยซูเจ้ากล่าวว่า “จงไปขายทุกสิ่งที่มี” ก็มิได้หมายความว่าการเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าจะต้องเป็นคนยากจนอาภัพน่าสงสาร…ชีวิตของคนอาภัพน่าสงสารซึ่งต้องทนทุกข์ยากลำบากและเจ็บปวด มิใช่เป็นอุดมการณ์สำหรับการเป็นศิษย์ของพระคริสต์ ทั้งความต้องการที่จะมีและสะสมทรัพย์สมบัติให้มีไว้มากๆ ก็มิใช่เป็นอุดมการณ์ของการเป็นศิษย์เช่นเดียวกัน
ทำไมชายหนุ่มคนนั้นจึงเข้าไปหาพระเยซูเจ้า?…ชายหนุ่มคนนั้นที่มีฐานะร่ำรวย คงกำลังมีความสุขกับทรัพย์สมบัติมากมายของตนเอง…บางทีคนเราอาจจะพึงพอใจกับทรัพย์สมบัติที่ตัวเองมีอยู่จนไม่สามารถได้ยินเสียงเรียกให้ใช้ชีวิตที่ดีกว่าและทำให้มองไม่เห็นความทุกข์ยากลำบากของเพื่อนพี่น้อง
ชายหนุ่มคนนั้นได้ถามพระเยซูเจ้าว่า “ข้าพเจ้าต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร?” คำถามของเขาคงไม่มีอะไรแอบแฝงแบบคนที่กำลังต้องการคำตอบแบบที่ตัวเองต้องการ จึงทำให้ได้รับความเอ็นดูจากพระเยซูเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยการยืนยันจากปากของเขาว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อมาตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว…ข้าพเจ้าไม่เคยได้ฆ่าคน ไม่เคยลักขโมยของของใคร หรือหลอกลวงผู้ใด ไม่เคยล่วงประเวณีและไม่เคยไม่นับถือบิดามารดา”…แน่นอน ชายหนุ่มคนนั้นต้องเป็นคนที่ควรได้รับการยกย่องและน่าเป็นที่ภูมิใจของผู้ที่เป็นพ่อแม่
คงไม่มีใครอยากจะโต้แย้งว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้เป็นคนดีในสายตาของคนทั่วๆไป แต่ว่าความเป็นคนดีของเขาได้ถูกตีกรอบไว้แล้วจากสังคมและสภาพแวดล้อมที่เขาได้เติบโตขึ้น เขายังมิได้ถูกทดลอง แต่ว่ากำลังจะได้รับการทดลอง
พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรชายหนุ่มคนนั้นด้วยพระทัยเอ็นดู พระองค์ได้ทรงแลเห็นศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ในตัวเขา แล้วนั้นพระองค์จึงได้นำเสนอวิสัยทัศน์ใหม่แห่งคุณงามความดีให้กับเขา เป็นวิสัยทัศน์เชิงบวกซึ่งมิใช่เป็นเพียงแต่หลีกเลี่ยงไม่ทำความชั่ว แต่ว่าส่งเสริมให้ทำความดี โดยพระองค์ได้ทรงบอกว่า “ถ้าท่านต้องการเป็นผู้ครบครันบริบูรณ์ จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน แล้วนั้นให้กลับมาติดตามเรา และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์”
พระเยซูเจ้าทรงต้องการที่จะช่วยปลดปล่อยชายหนุ่มคนนั้นให้หลุดออกจากวังวนของทรัพย์สินเงินทอง พร้อมทั้งแสดงให้เขาได้เห็นถึงหนทางของการรู้จักแบ่งปันและความมีใจบุญสุนทาน แต่ว่าชายหนุ่มคนนั้นกลับไม่ยอมรับข้อเสนอแนะของพระองค์ แล้วก็จากไปด้วยความทุกข์
ทำไมเขาจึงต้องเป็นทุกข์? เพราะว่าการท้าทายที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำกับเขานั้น ทำให้ชายหนุ่มที่มีท่าทีว่าใจกว้าง กลับรู้สึกมีอารมณ์ขุ่นข้องหมองมัว อย่างไรก็ตาม ราคาค่างวดที่เขาให้กับตัวเองนี้ สูงลิบลิ่ว ดังนั้นเขาจึงได้กลับไปหาชีวิตแบบเดิมๆของตน ไปหาความสดวกสบายและความมั่นคงในชีวิตแบบเก่าๆ แน่นอน ชีวิตนิรันดรที่เขาวาดฝันไว้นั้น ก็คงจะค่อยจางหายไปจากความทรงจำของเขา แต่ก็เป็นกรณีที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าพระเยซูเจ้าได้ทรงปล่อยให้ชายหนุ่มคนนั้นละจากพระองค์ไปเฉยๆ
เป็นเรื่องที่ยากลำบากมากๆสำหรับคนเราที่จะยอมปล่อยให้ทรัพย์สมบัติของตนหลุดมือไป เพราะนั่นย่อมหมายถึงว่าตัวเองกำลังปฏิเสธทรัพยากรต่างๆที่เป็นเครื่องประกันสถานะทางสังคมของตน ความมั่นคงในชีวิตและการเสพย์สุขในชีวิต เป็นอันต้องหลุดลอยไป และนี่แหละที่เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ที่ต้องการเป็นศิษย์ขององค์พระเยซูเจ้านั้น จำเป็นต้องสละละทิ้งทรัพย์สมบัติ สาระสำคัญของความเชื่อศรัทธาของคริสตชน ก็คือมอบความหวังไว้ใจทั้งสิ้นของตนในพระเจ้า และนี่แหละที่เป็นความมั่นคงและความสบายใจของชีวิต
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงกล่าวว่า “จงไปขายทุกสิ่งที่มี” พระองค์มิได้หมายความว่าผู้เป็นศิษย์ของพระองค์จะต้องเป็นคนยากจนอาภัพน่าสงสาร…เช่นเดียวกับชายหนุ่มคนนั้นที่เราบางครั้งก็ได้วาดฝันถึงการมีชีวิตคริสตชนที่แท้จริงมากขึ้น…แต่ว่าเราพร้อมที่จะลงมือปฏิบัติหรือเปล่าเท่านั้น?…ขอให้เราอย่าเป็นคนดีเพียงแต่ปรารถนาที่จะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้เท่านั้นโดยที่ไม่ได้ใช้ความพยายามที่จะบรรลุให้ถึงเป้าหมายนั้นอย่างจริงๆจังๆ สำหรับคนที่ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการเป็นคนดีเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า รางวัลตอบแทนที่พวกเขาจะได้รับนั้น จะยิ่งใหญ่ตั้งแต่ในโลกนี้ คือชีวิตของพวกเขาในโลกนี้จะเป็นชีวิตที่มีความหมาย เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขใจและความชื่นชมยินดีในท่ามกลางการถูกทดลองและปัญหาความทุกข์ยากลำบากต่างๆ
แน่นอน การตอบรับของเราที่จะให้กับองค์พระเยซูเจ้านั้น จะต้องเป็นคำตอบรับที่ดีที่สุดจากฝ่ายเรา…เพราะเพื่อนแท้ของเราคือคนที่สามารถหยิบยื่นความใฝ่ฝันและความเป็นไปได้ที่ดีที่สุดสำหรับวัยหนุ่มของเราและสำหรับทั้งชีวิตของเรา
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์