สมโภชพระเยซูเจ้ากษัตริย์แห่งสากลจักรวาล ปี B
ยน 18: 33-37…พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “อาณาจักรของเรามิได้มาจากโลกนี้ ถ้าอาณาจักรของเรามาจากโลกนี้แล้ว คนของเราก็คงจะต่อสู้เพื่อมิให้เราตกในเงื้อมมือของพวกยิว แต่อาณาจักรของเรามิได้มาจากโลกนี้หรอก” ปิลาตจึงถามพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็เป็นกษัตริย์น่ะซิ” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า “ท่านพูดถูกแล้วว่าเราเป็นกษัตริย์”
พวกเราต่างก็มีความชื่นชมยินในวันสมโภชยิ่งใหญ่นี้ “พระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล” ด้วยการถวายความจงรักภักดีและด้วยการเป็นประจักษ์พยานในการรับใช้พระองค์และเพื่อนพี่น้องของเราเพื่อว่าพระอาณาจักรของพระองค์จะมาถึง…
ข้อคิด…ในวันนี้ซึ่งเป็นอาทิตย์สุดท้ายของเทศกาลธรรมดาและของปฏิทินพิธีกรรมของพระศาสนจักร และเป็นวันสมโภชพระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล…และในวันสมโภชนี้ เรามักจะคิดถึงวันสิ้นโลกและการพิพากษาของพระเจ้า ดังที่ภาพนิมิตที่ปรากฎแก่ท่านประกาศกดาเนียลในบทอ่านที่หนึ่ง (ดนล 7: 13-14) ที่บอกเราถึงการเสด็จมาของพระเยซูคริสตเจ้า “บุตรแห่งมนุษย์” ในวันสิ้นโลกในฐานะที่จะทรงเป็นพระตุลาการสูงสุดที่จะทรงพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย
โดยอยู่ในบริบทจากหนังสือของประกาศกดาเนียล หนังสือวิวรณ์ (วว 1: 5-8) มองไปยังการเสด็จมาขององค์พระเยซูเจ้า ณ เวลาสิ้นโลก เมื่อพระองค์จะทรงเสด็จมาในพระอานุภาพและทุกคนจะรับรู้และแลเห็นพระองค์…ส่วนในพระวรสาร (ยน 18: 33-37) ซึ่งคัดมาจากเรื่องเล่าถึงพระทรมานของพระเยซูเจ้าของพระวรสารนักบุญยอห์น เล่าถึงการถาม-ตอบระหว่างปิลาตกับพระเยซูเจ้า ซึ่งก็บ่งบอกถึงธรรมชาติของความเป็นกษัตริย์ขององค์พระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าได้เสด็จลงมาในโลกนี้ มิใช่เพื่อจะสถาปนาพระอาณาจักรของพระองค์บนโลก แต่เพื่อที่จะเป็นประจักษ์พยานให้กับความจริงแห่งอำนาจการปกครองสูงสุดที่เป็นนิรันดร์และเป็นสากลขององค์พระผู้เป็นเจ้า…และเพื่อที่จะบอกเราว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาเจ้าสวรรค์ของพวกเราทุกๆคน พระองค์ทรงอยู่ใกล้ชิดกับพวกเราและคอยเอาใจใส่พวกเราอยู่เสมอ…และปิลาตเองก็ทรงเห็นด้วยว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ มิได้ทำอะไรเพื่อก่อความวุ่นวายในหมู่ประชาชนตามที่พวกผู้นำศาสนาของพวกชนชาวยิวได้กล่าวหาพระองค์ เพราะพระอาณาจักรของพระองค์มิได้อยู่บนโลกใบนี้
พระนามต่างๆที่เรามอบให้กับพระเยซูเจ้า ดูเหมือนว่าพระนาม “กษัตริย์” อาจจะมีหลายๆคนคิดว่าเป็นพระนามที่ไม่สู้จะเหมาะสมเท่าใดนัก เพราะเมื่อเราพูดถึงกษัตริย์ เรามักจะคิดถึงบัลลังก์ มงกุฎ พระราชวัง ทรัพย์ศฤงคาร อำนาจ ข้าราชบริพาร กองทัพ ฯลฯ
แต่เมื่อเรามองดูพระเยซูเจ้า…เราเห็นอะไร? แน่นอน พระองค์ไม่มีสิ่งต่างๆที่กล่าวถึงข้างบนนี้ เราเห็นพระองค์ทรงเดินไปตามถนนที่ปนเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินพร้อมกับลูกศิษย์จำนวนน้อยนิด และผู้ที่ติดตามพระองค์ ก็มีแต่คนยากจน คนน่าสงสาร คนป่วย คนบาป และคนที่ด้อยโอกาสที่มาห้อมล้อมและติดตามพระองค์เพื่อที่จะฟังข่าวดีของพระองค์
แต่ถ้าเรามาพิจารณาดูอีกด้านหนึ่ง พระนาม “กษัตริย์” ก็เหมาะมากๆสำหรับพระองค์…เพราะอะไร?
1.เพราะพระเยซูเจ้าทรงมีพระธรรมชาติ “พระเจ้า” พระองค์ทรงเป็นเจ้านายเหนือสรรพสิ่ง ทรงเป็นกษัตริย์แห่งสากลจักรวาล
2.เพราะพระเยซูเจ้าทรงเป็นท่อธารแห่งคุณงามความดีทั้งปวง ทรงเป็นแสงสว่างและความหวังสำหรับโลกที่มืดมนต์…ความดีของพระองค์มีผลและอิทธิพลต่อจิตใจและชีวิตของเรามนุษย์ทุกคนที่เข้ามารู้จักและสัมผัสกับพระองค์
จากทั้งสองเหตุผลดังกล่าว พระองค์จึงสมควรที่จะได้รับพระนามว่า “กษัตริย์”…ปิลาตมีอำนาจเหนือประชาชนชาวยิวด้วยกองทัพ …พระเยซูเจ้ามีอิทธิพลเหนือประชาชนชาวยิวด้วยความดี …ดังนั้น ให้พวกเราช่วยกันตัดสินดูซิว่าใครสมควรจะเป็นกษัตริย์มากกว่ากัน? หรือว่าเราอยากจะเลือกใครเป็นกษัตริย์มากกว่ากัน?
พระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล แม้จะไม่มีความต้องการใช้กองทัพและอาวุธสงครามสำหรับจะควบคุมความสงบสุขของบ้านเมือง ดังเช่นกษัตริย์หรือผู้ปกครองประเทศแบบที่เราเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้ แต่พระองค์ทรงต้องการทหารหาญที่รักและจงรักภักดีต่อพระองค์ ทหารหาญเหล่านี้ คือบรรดาศิษย์ของพระองค์ที่พร้อมจะทำการรบสู้เพื่อความยุติธรรมและเพื่อความดีในสังคม เพื่อความจริงและเพื่อสันติภาพ
ในโลกมนุษย์ปัจจุบัน ยังมีการสู้รบต่อสู้กันระหว่างอาณาจักรแห่งความมืดและอาณาจักรแห่งความสว่าง อาณาจักรแห่งการหลอกลวงโกหกและอาณาจักรแห่งความจริง อาณาจักรแห่งความชั่วและอาณาจักรแห่งความดี
เราจะสู้รบเพื่ออะไรดี?…และเราจะเลือกอยู่ฝ่ายไหน?…ฝ่ายโลกหรือฝ่ายพระเยซูเจ้า?
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์