บทอ่านจากบทความเรื่องความรัก โดยนักบุญมักซีโม อรหันต์
หากปราศจากความรักแล้ว ทุกสิ่งก็ไร้ผล
ความรักเป็นการแสดงออกที่ดีที่สุดของจิตใจ ซึ่งไม่ปรารถนาสิ่งใดอื่นนอกจาก เพื่อรู้จักพระเป็นเจ้า ไม่มีใครที่จะบรรลุถึงความรักนี้ได้ ถ้าจิตใจของเขาผู้นั้นไม่เป็นอิสระจากสิ่งฝ่ายโลก ผู้ที่รักพระเป็นเจ้าก็ละทิ้งทุกสิ่ง แสวงหาพระองค์ด้วยใจปรารถนาและด้วยความรักจริงใจ ความคิดจิตใจของเขาจะมุ่งมันไปยังพระองค์เสมอ
พระเป็นเจ้าทรงยิ่งใหญ่และสูงส่งเหนือกว่าสรรพสิ่ง เพราะสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์ ฉะนั้นผู้ที่ละทิ้งพระเป็นเจ้าและปล่อยให้สิ่งฝ่ายโลกครอบงำก็แสดงให้เห็นชัดว่า เขารักพระผู้สร้างน้อยกว่าสิ่งที่ถูกสร้าง
องค์พระผู้เป็นเจ้าเองทรงเตือนเราว่า “ผู้ที่รักเรา ก็ถือตามบัญญัติของเรา นี่คือบัญญัติของเรา คือท่านจงรักกันและกัน” ดังนั้น ผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตน ก็ไม่ถือตามบัญญัติของพระเป็นเจ้า เพราะผู้ที่ไม่ถือตามบัญญัติของพระเจ้า ก็ย่อมรักพระองค์ไม่ได้ เป็นบุญของผู้ที่สามารถรักมวลมนุษย์เสมอกัน ยิ่งกว่านั้นอีก หากเขารักพระเป็นเจ้าอย่างแท้จริง เขาต้องรักพี่น้องอย่างแน่นอน บุคคลเช่นนี้ไม่อาจสะสมทรัพย์สมบัติของเขาไว้เฉยๆ แต่จะเป็นเหมือนพระเป็นเจ้า โดยแจกจ่ายด้วยใจกว้างให้แก่แต่ละคนตามความต้องการของพวกเขา
เมื่อเขาถือตามแบบฉบับความใจกว้างของพระเป็นเจ้า สิ่งเดียวที่เด่นซึ่งเขานำมา คือดูความต้องการของแต่ละคน เขาไม่แยกแยะระหว่างคนดีและคนไม่ดี คนชอบธรรม หรือคนอธรรม แต่กระนั้น ด้วยความปรารถนาความดีของเขา ทำให้เขาชมชอบผู้ที่มีคุณธรรมมากกว่าผู้ที่เลวทราม
จิตใจที่มีความรักไม่แสดงให้เห็นด้วยการให้ทานเท่านั้น แต่แสดงออกในด้านให้บริการด้วย เช่นด้วยการแบ่งปันพระวาจาของพระเจ้าแก่ผู้อื่นแท้จริง ถ้าผู้ใดบริการรับใช้พี่น้องด้วยจริงใจ และถ้าเขาสละความสนใจในสิ่งฝ่ายโลก เขาจะเป็นอิสระจากความปรารถนาต่างๆ ที่เห็นแก่ตัว เพราะเขาจะมีส่วนในความรักของพระเป็นเจ้า และเมื่อเขามีความรักพระเป็นเจ้าอยู่ในตัวแล้ว เขาจะไม่เหน็ดเหนื่อยในการติดตามพระองค์ พระเป็นเจ้าของเขา และถือตามแบบอย่างประกาศกเยเรมีย์ เขาอดทนต่อการสบประมาทและความยากลำบากทุกชนิด โดยไม่คิดแก้แค้นหรือคิดร้ายต่อใครเลย
ประกาศกเยเรมีย์กล่าวเตือนเราว่า “จงอย่ากล่าวว่า เราเป็นพระวิหารของพระเจ้า” และอย่ากล่าวว่า “ความเชื่อในพระคริสตเจ้าเท่านั้นช่วยให้รอดได้” ที่จริง ในตัวความเชื่อเองไม่มีผลอะไร แม้ปิศาจก็มีความเชื่อและหวาดกลัว ดังนั้น ความเชื่อต้องควบคู่ไปกับกิจการแห่งความรักต่อพระเจ้า ซึ่งแสดงออกในกิจการดีต่างๆ ผู้ที่มีความรักจะเด่นในความพากเพียรอดทนให้บริการผู้อื่นอย่างจริงใจ และยังหมายถึงการรู้จักใช้ทุกสิ่งอย่างถูกต้อง
แบ่งปัน
“จงรักศัตรูและจงทำดีต่อผู้ที่ทำร้ายท่าน”
จากบทพระวรสารอาทิตย์นี้เตือนใจเราให้สำนึกอีกครั้งหนึ่งถึงแก่นแท้ของข่าวดีขององค์พระคริสตเจ้าว่า พระองค์ทรงเรียกร้อง ความพิเศษและความสูงส่งของพระธรรมคำสอนของพระองค์จากบรรดาศิษย์อย่างไร
“จงรักศัตรูและจงทำดีต่อผู้ที่ทำร้ายท่าน” “ถ้าท่านรักแต่คนที่ดีต่อท่าน ท่านทำอะไรพิเศษกว่าคนทั่วๆ ไปเล่า? แม้คนบาปเขาก็กระทำเช่นนี้มิใช่หรือ?”
พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องจากผู้ที่เชื่อในพระองค์และทรงมอบพระองค์เองแบบฉบับสูงส่งนี้จากการกระทำที่เราสัมผัสได้จากเหตุการณ์บนไม้กางเขน ขณะที่ทรงถูกทรมานและถูกประหารอย่าง อยุติธรรมและสุดโหด ทรงวอนขออภัยแทนบรรดาศัตรูของพระองค์ว่า “ข้าแต่พระบิดา โปรดอภัยให้เขาเหล่านี้เถิด เพราะพวกเขาไม่ทราบว่าพวกเขากำลังทำอะไร!” พระผู้ไถ่มิเพียงให้อภัย แต่ยังทรงแก้ตัวแทนพวกเขาด้วย
เรามาลองพิจารณาในชีวิตของเรา ถ้ารักคนที่สมควรรัก ใครก็สามารถทได้ แต่ถ้ารักคนที่ด่าเรา ทำร้ายเรา ลงคงอภัยแบบขอไปที แบบอย่างไปยุ่งกับคนเหล่านี้ ถ้าเราคิดแบบนี้ อาจสะท้อนจิตใจเราลึกถึงความท้อแท้หรือสิ้นหวังตามกลยุทธของปิศาจ แต่สำหรับเราผู้เชื่อในพระอานุภาพของไม้กางเขน เราต้องไม่ลืมว่าการปฏิบัติตามพระวาจาของพระคริสตเจ้าในเรื่องสูงส่งเช่นนี้ อยู่เกินกำลังของเรามนุษย์คนบาปจริงๆ การปฏิบัติบทบัญญัติแห่งความรักระดับนี้ ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพระองค์เป็นพิเศษ แต่เราก็แน่ใจว่าพระองค์พร้อมจะประทานพระพรนี้ให้ เพราะพระองค์ไม่เคยเรียกร้องสิ่งที่เกินกำลังของเราเลยทรงเตือนพวกเราด้วยว่า “ถ้าเราไม่ช่วย พวกเท่าก็ทำอะไรไม่ได้เลย” (เทียบ ยน.15, 5) ฉะนั้น เราต้องไม่หลงหรือบังอาจคิดเอาเองว่า เราจะสามารถปฏิบัติตามพระวาจาข้อนี้ โดยอาศัยน้ำใจดีและความสามารถของเราเอง พระคริสตเจ้าทรงพร้อมจะทำงานในตัวศิษย์ผู้มีน้ำใจดีและสัตย์ซื่อต่อการเรียกร้องของพระองค์ ตามคำยืนยันของนักบุญเปาโลที่ว่า “ข้าพเจ้าทำได้ทุกสิ่งโดยอาศัยพระองค์ผู้ทรงเป็นพลังของข้าพเจ้า” (เทียบ จม. ถึงชาวฟิลิปปี 4, 13)
ลองถามใจลึก เราอยากต่อ ความทุกข์ให้ยาวนาน หรือต่อความสุขให้เป็นนิรันดร์ เริ่มจากง่าย ๆ อย่าสร้างศัตรูด้วยคำพูดที่ขาดสติหรือความรับผิดชอบ อย่าพูดจาเสียดสีทิ่มตำคนอื่น อย่ามีท่าทีเป็นศัตรูกับผู้ใดเลยเพราะนี่คือการสร้างศัตรูรอบตัวเองอย่างเบาความ
แต่จงขอให้เราพยายามมีไมตรีจิตกับทุกๆ คนเท่าที่จะกระทำได้ จงพยายามมีคำพูดที่นุ่มนวล รื่นหูผู้ฟัง มีอารมณ์ดีและสงบ มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มกับผู้อยู่รอบข้างแล้วเราจะได้รับไมตรีจิตกลับมา นี่เป็นกลยุทธง่ายๆ มิใช่แค่ช่วยขจัดหรือบรรเทาความยุ่งยากต่างๆ แต่เป็นทางให้เราเดินทางสู่ความสุขที่เป็นนิรันดร์…