ข้อคิดในเทศกาลมหาพรต
พี่น้องที่รัก เทศกาลมหาพรต เป็นเวลาของการ “หันกลับ ปรับชีวิต เปลี่ยนทัศนคติ และกล่อมเกลาจิตใจ”แล้ว ยังเป็นเวลาของการ “หยุด ไตร่ตรอง ภาวนา” ให้มากขึ้นด้วย ดังนั้น ในพระวรสารวันนี้ พระศาสนจักรจึงพาเราเดินทางไปพร้อมกับพระเยซูและพักอยู่กับพระองค์บนภูเขา พ่อจึงขอเชิญชวนพี่น้องให้กลับไปเป็นเด็กช่างสังเกตอีกครั้ง พิศเพ่งแบบอย่างชีวิตของบุคคลในพระคัมภีร์ 3 คน
คนแรก คือในบทอ่านที่หนึ่งของวันนี้ ท่านอับราม แบบอย่างของผู้มี “ความเชื่อ” และด้วยความเชื่ออันยิ่งใหญ่ของท่าน ท่านจึงเป็นบิดาของชนชาติอิสราเอล ประชากรของพระเจ้า
ในตัวบทของพระวาจาในบทอ่านที่หนึ่งนี้ เริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทางพาอับรามออกไปข้างนอก” ถ้าพี่น้องสังเกต เมื่อพระเจ้าจะตรัสเรื่องสำคัญๆ อะไรก็ตาม พระองค์มักจะใช้เวลากับบุคคลนั้นเป็นการส่วนตัว และพระประสงค์ของพระองค์มักจะถูกเปิดเผยผ่านความเรียบง่ายธรรมดาในชีวิตของเรา “จงมองดูท้องฟ้า นับจำนวนดวงดาวเถิด ถ้าท่านนับได้ ลูกหลานของท่านจะมีจำนวนมากมายเช่นนี้” สิ่งที่พ่ออยากให้เรายึดไว้ให้มั่นคือ “ท่าที” ของท่านอับราม คือ “อับราม เชื่อ องค์พระผู้เป็นเจ้า”
คนที่สอง คือ เปาโล แบบอย่างของ “การหันหลังกลับ ปรับเปลี่ยนชีวิต ผู้ประกาศและประจักษ์พยานด้วยชีวิต”
ถ้าพี่น้องสังเกตให้ดี เสน่ห์ของท่านนักบุญเปาโลในการประกาศถึงพระเยซูเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ท่านรักและเชื่อ จนทำให้ผู้คนกลับใจอย่างมากมาย โดยเฉพาะคนต่างศาสนา คือ การสอนโดยกล่าวอ้างถึงความผิดพลาดบกพร่องในชีวิตของตนด้วยความสุภาพเพื่อให้แบบอย่างที่เห็นได้ของตนเป็นการเตือนใจ ท่านสำนึกถึงบาปผิดในชีวิตของตน และย้ำชัดถึงการกลับใจ เปลี่ยนแปลงตนเองอย่างจริงจัง เมื่อได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น ทุกครั้งที่ท่านจะประกาศ ท่านมักจะกล่าวย้ำว่า “จงพร้อมใจกันประพฤติตามอย่างข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายเห็นว่า เราเป็นแบบฉบับอย่างไร ก็จงดำเนินตามอย่างนั้นเถิด ข้าพเจ้าได้เคยบอกให้ท่านรู้หลายครั้งแล้ว บัดนี้ก็ขอบอกซ้ำด้วยน้ำตาอีกว่า หลายคนประพฤติตนเป็นศัตรูกับไม้กางเขนของพระคริสตเจ้า ปลายทางของเขาคือความพินาศ….บ้านเมืองของเราอยู่ในสวรรค์ เราเฝ้ารอคอยพระผู้ไถ่จากแดนนี้ คือ พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า…จงยึดมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด”
พี่น้อง อับราม คือแบบอย่างของผู้เชื่อ เปาโล คือแบบอย่างของผู้หันหลังกลับ ทั้งสองท่านเป็นผู้ที่ถูกเลือกสรรจากพระเจ้าให้เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เป็นความรอดพ้นทางด้านจิตวิญญาณให้กับมนุษยชาติในแต่ละช่วงประวัติศาสตร์ของชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้เป็นประชากรของพระองค์ ท่าทีของท่านทั้งสองจึงเป็นแบบอย่างของผู้ที่เดินไปกับพระเจ้าด้วยความถ่อมใจแต่เชื่อมั่น รู้ว่าตนเป็นคนบาปแต่ไม่หมดความไว้ใจ และถึงอย่างไรก็ยังคงยึดมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ
และสำหรับบุคคนที่สาม ที่พ่อเชิญชวนให้พี่น้องไตร่ตรองไปด้วยกันในวันนี้ คือ พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระวรสารในวันนี้ให้แบบอย่างของเยซูเจ้าผู้เป็นบุตรสุดที่รัก “นักภาวนา ผู้ที่ไม่เคยออกห่าง อับบา พระบิดา” พ่ออยากให้พี่น้องลองจินตนาการว่าตนเองเป็น ศิษย์คนที่สี่ ที่แอบเดินตามหลังพระเยซูและศิษย์ทั้งสามคนไปอย่างเงียบๆ และรำพึงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนภูเขาไปด้วยกัน
เราเห็นอะไร (See) มีอะไรเกิดขึ้นที่นั่น (What happened) ???
1.พระเยซูเจ้าพาเปโตร ยอห์นและยากอบ ขึ้นไปภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนา
2.ขณะที่ทรงอธิษฐานภาวนาอยู่นั้น ลักษณะของพระพักตร์เปลี่ยนไปและฉลองพระองค์มีสีขาวเจิดจ้า (ลักษณะของพระสิริรุ่งโรจน์)
3.โมเสสและประกาศกเอลียาห์มาสนทนากับพระองค์ ประเด็นของการสนทนา เป็นเรื่องของการจากไปของพระองค์ที่จะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม
4.ขณะที่พระเยซูกำลังภาวนา และสนทนากับโมเสสและเอลียาห์ เปโตร ยอห์นและยากอบ ง่วงนอนมาก หลับอยู่
5.เมื่อศิษย์สามคนตื่นขึ้นก็เห็นพระเยซูเจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ โมเสส และเอลียาห์ กำลังสนทนากัน
6.เปโตรทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ที่นี่สบาย น่าอยู่จริงๆ เราจงสร้างเพิงขึ้นสามหลังเถิด หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำหรับประกาศกเอลียาห์”
7.เมฆก้อนหนึ่งลอยมาปกคลุมเขาไว้ เมื่ออยู่ในเมฆ เปโตรกลัวมาก มีเสียงดังออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรของเรา ผู้ที่เราได้เลือกสรร จงฟังท่านเถิด” เมื่อสิ้นเสียงนั้นแล้ว ก็เห็นพระเยซูเจ้าเพียงพระองค์เดียว
พี่น้อง พ่อไล่เรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างต้นออกเป็นข้อๆ เพื่อให้เห็นเด่นชัดขึ้น จากการที่พ่อสมมติตนเองเป็นศิษย์คนที่สี่ที่แอบเดินตามหลังพระเยซูและศิษย์ทั้งสามคนไปอย่างเงียบๆ และรำพึงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนภูเขาในวันนั้น พ่อได้รับข้อคิดจากสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงเผยแสดงใน 3 ประเด็น ดังนี้
1.ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนา ลักษณะพระพักตร์ของพระเยซูเจ้าเปลี่ยนไป และฉลองพระองค์มีสีขาวเจิดจ้า
การภาวนา เป็นการสนทนากับพระเจ้า การอยู่กับพระ พบปะ สร้างความสัมพันธ์กับพระองค์ และผลจากการภาวนาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงได้ ประเด็นนี้หลายครั้งที่แม้แต่พ่อเองก็ลืมไป ทำให้เวลาที่พ่อภาวนาก็มักจะให้มันจบๆ เพราะคิดว่ามีเรื่องอื่นอีกที่สำคัญและต้องให้ความใส่ใจมากกว่า แต่วันนี้ พระวรสารเตือนใจเราว่า การภาวนา เปรียบเหมือนเรากำลังเดินขึ้นไปบนภูเขา เมื่อเราหยุด นิ่ง อยู่และสนทนากับพระเงียบๆ อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เราได้รับพลังและแสงสว่าง ผลของการภาวนาจะทำให้ผู้คนที่พบเห็น สัมผัสได้ถึงใบหน้าที่เปลี่ยนไป อาภรณ์ที่เราสวมใส่จะสว่างสุกใส เราจะกลายเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับคนอื่น ชีวิตของเราจะเป็นเครื่องหมายให้ผู้คนรู้ว่าเราเป็นลูกที่มีความสัมพันธ์อันดีกับพระองค์
2.การปรากฏมาของโมเสสและประกาศกเอลียาห์ การสนทนาถึงการไถ่มนุษยชาติที่จะสำเร็จไปในกรุงเยรูซาเล็ม
หากเราพิจารณาตามประสามนุษย์ เราอาจจะเห็นเหมือนที่เปโตร ยากอบและยอห์นเห็น และพูดเหมือนที่เปโตรพูด คือ “ที่นี่สบาย น่าอยู่จริงๆ” และเราก็ไม่อยากจากที่นี่ไป จนอยากจะ “สร้างเพิงขึ้นสามหลังเถิด หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำหรับประกาศกเอลียาห์” พี่น้องการปรากฏมาของโมเสสและประกาศกเอลียาห์ เป็นการมาเพื่อหนุนใจ มาเพื่อเผยแสดงพระประสงค์ของพระเจ้า และเป็นเครื่องหมายถึงภารกิจที่พระองค์ได้รับและจะต้องกระทำให้สำเร็จไปในโลก ซึ่งพ่อขอสรุปสั้นๆว่า
โมเสส ตัวแทนของผู้นำที่กล้าหาญของชนชาติอิสราเอลทั้งในยามสุขเมื่อผู้คนยกย่องยอมรับ และในยามที่ชีวิตหรือจิตวิญญาณต้องตกอยู่ในหลุมดำหรือหลงทางอยู่ถิ่นทุรกันดาร
เอลียาห์ เป็นตัวแทนของผู้ที่ทำหน้าที่เป็นปากและเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า ประกาศความถูกต้องทั้งด้วยวาจาและการกระทำ
3.เสียงที่ดังออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรของเรา ผู้ที่เราได้เลือกสรร จงฟังท่านเถิด”
เราในฐานะศิษย์ที่ติดตามพระเยซูเจ้า สิ่งที่พระบิดาทรงประสงค์ให้เราได้ยิน ได้เห็น และสัมผัสได้ คือ
ได้ยินว่า พระเยซูเจ้า คือ บุตรสุดที่รัก ผู้ซึ่งเราต้อง “ฟัง” (This is my son; listen to him)
ได้เห็นว่า พระเยซูเจ้า คือ บุตรสุดที่รัก ผู้ซึ่งเราต้อง “เรียนรู้จักและปฏิบัติตาม”
ได้สัมผัสว่า พระเยซูเจ้า คือ บุตรสุดที่รัก ผู้ซึ่งเราต้อง “เชื่อและไม่ละทิ้ง”
พี่น้อง จงยึดมั่นในพระเยซูเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่เป็นบุตรสุดที่รัก ที่ถูกเลือกสรร แต่กลับไม่ติดยึดในความสบาย ยอมรับความตาย เพื่อให้มนุษย์ได้รับความรอด เสียงที่ประกาศดังก้องออกมาจากเมฆในวันนี้ บอกเราให้ “ฟัง” เราจึงต้องเรียนรู้จักพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ด้วยความเชื่อ”
ขอให้เราจะเป็นดุจเดียวกับบุตรสุดที่รักของพระเจ้า เป็นนักภาวนาที่แสดงผลผ่านใบหน้าแห่งความสุข เป็นสภาพแวดล้อมที่ดี สบาย และน่าอยู่จริงๆ ให้ทั้งกับผู้ที่หลับใหล และผู้ที่ตื่นเฝ้ารอคอยด้วยใจแสวงหา
ขอให้ชีวิตของบุคคลในพระคัมภีร์ 3 คน ที่พ่อเชิญชวนพี่น้องให้พิจารณาไปด้วยกัน เป็นแบบอย่างให้กับเราในช่วงเวลามหาพรตนี้ด้วย
จงเป็นดัง อับราม แบบอย่างของ “ผู้มีความเชื่อ”
จงเป็นดัง เปาโล แบบอย่างของ “การหันหลังกลับ ปรับเปลี่ยนชีวิต”
จงเป็น “ศิษย์” ของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้เป็นบุตรสุดที่รักของพระเจ้า แบบอย่างของ “นักภาวนา นักรัก และผู้นำความรอดพ้น”
จงเป็นเครื่องหมายแห่งความรักของพระเจ้าและเป็นผู้ร่วมในการไถ่ของพระองค์ในโลกนี้เถิด..