บทอ่านจากบทความเกี่ยวกับธรรมล้ำลึก โดยนักบุญอัมโบรส พระสังฆราช
คำสอนว่าด้วยพิธีกรรมก่อนโปรดศีลล้างบาป
เราเคยให้คำสอนประจำวัน ว่าด้วยความประพฤติที่ถูกต้อง เมื่อเราอ่านจากประวัติของบรรดาอัยกา หรือจากหนังสือสุภาษิต การอ่านเหล่านี้ มุ่งหมายที่จะสอน และอบรมท่าน เพื่อจะให้ท่านคุ้นเคยกับวิถีทางแห่งบรรพบุรุษของเรา เข้ามาเดินในหนทางของพวกเขา ในความนอบน้อมเชื่อฟังต่อกฎบัญญัติของพระเป็นเจ้า
บัดนี้ ถึงเวลาที่เราต้องพูดถึงธรรมล้ำลึกต่าง ๆ ซึ่งแสดงความหมายของศีลศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเราคิดว่าเป็นการเหมาะสมที่จะสอนสิ่งเหล่านี้แก่ผู้ที่ยังไม่ได้รับศีลล้างบาป เขาก็จะถือว่าเราเป็นคนทรยศมากกว่าเป็นอาจารย์ ความสว่างเกี่ยวกับธรรมล้ำลึกต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน จะเกิดผลในผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ใดๆ มากกว่าในผู้ที่ได้รับคำสอนมาบ้างแล้ว
จงเปิดหูของท่าน จงชื่นชมในความหวานชื่นแห่งชีวิตนิรันดร์ อันเนื่องมาจากศีลศักดิ์สิทธิ์ เราอธิบายข้อนี้แก่ท่าน ในเมื่อเราประกอบพิธีแห่งธรรมล้ำลึก เมื่อเรากล่าวว่า “เอฟเฟตา ซึ่งแปลว่าจงเปิดเถิด” ทุกคนที่จะเข้ามารับศีลล้างบาป จะต้องเข้าใจ จะถูกถามอะไรและต้องจำไว้ด้วยว่า จะต้องตอบอะไร พิธีกรรมนี้พระคริสตเจ้าได้ทรงกระทำ เมื่อพระองค์ทรงรักษาคนหนวกใบ้ในพระวรสาร ซึ่งเราประกาศแก่ท่าน
หลังจากนี้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งเผยออกรับท่าน ท่านเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์ซึ่งให้ชีวิตใหม่ จงระลึกถึงว่าเขาได้ถามอะไรท่าน และท่านได้ตอบอะไร ท่านได้ละทิ้งมารและกิจการของมัน ละทิ้งโลกและความสนุกสนานไร้สาระของมัน วาจาของท่านมิได้ถูกบันทึกไว้บนอนุสาวรีย์ของผู้ตาย แต่บันทึกไว้ในบัญชีรายชื่อผู้มีชีวิต
ที่นั่นท่านได้เห็นสังฆานุกร พระสงฆ์ จงอย่าพิเคราะห์ดูลักษณะภายนอกของท่าน แต่จงดูพระหรรษทานที่ท่านได้รับ เพื่อภารกิจของท่าน ท่านพูดต่อหน้าบรรดาทูตสวรรค์ ตามที่มีเขียนไว้ “ริมฝีปากของพระสงฆ์ปกป้องความรู้ มนุษย์แสวงหากฎจากปากของท่าน เหตุว่า ท่านเป็นทูตสวรรค์ของพระเจ้าผู้ทรงสรรพฤทธิ์” ไม่มีทางผิดหลง ไม่มีทางปฏิเสธ ท่านเป็นทูตสวรรค์ ผู้แจ้งข่าวอาณาจักรของพระคริสตเจ้า และชีวิตนิรันดร ท่านต้องพิเคราะห์ดูพระสงฆ์ มิใช่จากลักษณะภายนอก แต่จากตำแหน่งหน้าที่ของท่าน จงระลึกว่า พระสงฆ์ได้ยื่นอะไรให้ท่าน จงชั่งน้ำหนักแห่งคุณค่าของท่าน และจงรับรู้ฐานะตำแหน่งของท่าน
ท่านได้เข้าเผชิญหน้ากับศัตรูของท่าน เพราะท่านมุ่งหมายละทิ้งมันโดยซึ่งหน้า เมื่อท่านหันไปทางทิศตะวันออก เหตุว่า ผู้ที่ละทิ้งมารย่อมหันเข้าหาพระคริสตเจ้า และพิศเพ่งตรงไปยังพระองค์.
พี่น้อง วันนี้พระเยซูเจ้าใช้เรื่องราวของชาวสะมาเรีย เพื่อตอบคำถามของนักกฎหมายผู้มากด้วยความรู้ คิดว่าสิ่งที่ตนเองรู้นั้นถูกต้อง และอยากจะจับผิดพระองค์ “เพื่อที่จะได้รับชีวิตนิรันดร ต้องทำอย่างไร?”
คำตอบ คือ “ต้องรัก….” เน้นชัดว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่ใช่เพียงข้อแนะนำให้ปฏิบัติ แต่เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ด้วย
- รัก “พระเจ้า” องค์พระผู้เป็นเจ้า สุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำลัง และสุดสติปัญญาของท่าน
- ผลที่ตามมาจากความรักต่อพระเจ้า คือ รัก “เพื่อนมนุษย์” และต้องรักเหมือนกับที่เรารักตัวเอง
พระเยซูเจ้าย้ำเราให้รักพระเจ้าสุดๆ ขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงรักเราก่อน และเพราะความรักของพระองค์เราจึงรักพระองค์สุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำลัง และสุดสติปัญญาของเรา พี่น้อง พระเจ้าไม่ได้รักเราเพราะเรารักพระองค์ นั่นไม่ใช่เหตุผลที่พระเจ้ารักเรา แต่พระเจ้ารักแบบให้เปล่า ทรงรักโดยไม่หวังสิ่งใด รักโดยไม่หวังรักตอบ รักตั้งแต่แรกเริ่ม รักแม้ว่าเราจะมองข้าม หรือตาพร่ามัวจนมองไม่เห็นก็ยังรักต่อไปโดยไม่เคยคิดทวงเอากลับคืน มนุษย์เราเองไม่สามารถรักพระเจ้าได้อย่างที่พระองค์ทรงรักเราด้วย แต่เราสามารถรักพระเจ้าได้ “สุดกำลังของตนเอง” เพื่อตอบรับความรักของพระองค์ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้ารักเราถึงเพียงนี้…. ด้วยเหตุนี้เรารู้ได้จากชีวิตของชายที่ชื่อ “เยซู ชาวนาซาแร็ธ” ผู้ซึ่งรักจนถึงที่สุด ให้ชีวิตของตนเองเพื่อเป็นเครื่องบูชาชดเชยบาปแทนมนุษย์ทุกคน ชีวิตของพระเยซูเจ้าไม่ได้บอกให้เรารู้ว่า พระเจ้ารักเราอย่างไรเท่านั้น แต่ยังบอกให้เรารู้ว่า ความรักความเป็นหนึ่งเดียวในระหว่างพระตรีเอกภาพ ผลักดันพระองค์ให้ดำเนินชีวิตเป็นความรักของพระเจ้าที่มองเห็นได้ท่ามกลางเพื่อนมนุษย์ในโลก จนถึงขั้นยอมตายแทนได้
ความรักที่เรามีต่อเพื่อนมนุษย์ เป็นตัวชี้วัดคุณภาพความรักที่เรามีต่อพระเจ้า หากเราไม่รักคนที่เรามองเห็นได้ในโลกนี้ เราจะรักคนที่เรามองไม่เห็นได้อย่างไร ? พี่น้องว่าจริงไหม ?
พี่น้อง หากเราปรารถนาจะได้รับชีวิตนิรันดร พระเยซูเจ้าทรงเชิญชวนเราให้ - จงปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์เหมือนกับชาวสะมาเรียปฏิบัติต่อชายแปลกหน้าที่นอนบาดเจ็บอยู่ข้างทาง
- จงปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ในรูปแบบเดียวกับชาวสะมาเรียผู้ที่เดินทางผ่านมา…
(เห็น> รู้สึกสงสาร> เดินเข้าไปหา> เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผล> แล้วพันผ้าให้
นำขึ้นหลังสัตว์ของตน> พาไปโรงแรมแห่งหนึ่ง> ช่วยดูแล
วันรุ่งขึ้น นำเงินสองเหรียญออกมามอบให้เจ้าของโรงแรมไว้
กล่าว (ขอร้อง) ‘ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะจ่ายเกินไปนั้น ฉันจะคืนให้เมื่อกลับมา’)…