กลางดึกของคืนวันที่ 31 สิงหาคม มีเพื่อนพระสงฆ์ส่งข้อความทางไลน์แจ้งข่าวการจากไปของ คุณพ่อศุภกิจ เลิศจิตรเลขา พระสงฆ์ของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ คุณพ่อรับการตรวจพบว่าเป็นมะเร็งในสมอง ในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมความทรงจำ ไม่สามารถรักษาโดยการผ่าตัด การรักษาทำได้เพียงการประคับประคองให้ดีที่สุด และคุณพ่อก็มอบคืนชีวิตและกลับไปหาพระเจ้า ในช่วงปีที่ผ่านมาอัครสังฆมณฑลกรุงเทพสูญเสียพระสงฆ์หลายองค์ ความตายคือความจริง เป็นเหตุการณ์ปกติของมนุษย์ทุกคนที่จะต้องลาจากโลกนี้ ในช่วงเวลาของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด ได้มีการแจ้งข่าวการเสียชิวิตของบุคคลที่เรารู้จัก ทั้งที่เป็นญาติและไม่เป็นญาติที่จากไป เนื่องจากวัดของเราไม่มีสุสาน ไม่มีพิธีมิสซาปลงศพ จึงอาจจะไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องราวมากมายนัก
เราเคยมีธรรมเนียมปฏิบัติเมื่อมีคริสตังค์คนใดคนหนึ่งเสียชีวิต ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตจะรีบติดต่อไปยังวัดที่ตนสังกัด แจ้งให้คุณพ่อทราบ สิ่งแรกที่จะทำก็คือการตีระฆังส่งวิญญาณ ซึ่งเป็นการตีระฆังที่มีลักษณะเฉพาะ มีจังหวะของการเคาะระฆังและการทอดเวลา เสียงระฆังแบบนี้ เมื่อได้ยินแล้วก็ทำให้รู้ว่ามีคนในหมู่บ้านเสียชีวิต และเมื่อบรรดาคริสตชนได้ยินเสียงดังนี้ เขาจะสวดภาวนาวอนขอพระเจ้าโปรดเมตตารับดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับคนนั้นทันที บ่อยครั้ง ยังไม่รู้ว่าเป็นใครที่จากไป เสียงระฆังส่งวิญญาณจึงเป็นเสียงสัญญาณที่บรรดาพี่น้องคริสตชนแสดงความเชื่อมั่นและร่วมใจกันอ้อนวอนพระเจ้า ต่างคนต่างก็ภาวนาวอนขอพระเจ้าด้วยความเชื่อมั่นไว้วางใจให้พระเจ้าที่แต่ละคนมี เป็นการสวดภาวนาวอนขอพระเมตตาจากพระแทนผู้ตายซึ่งเวลานั้นเขาสวดภาวนาไม่ได้แล้ว แต่ผู้ที่ทราบข่าวได้ร่วมใจกันสวดภาวนาวอนขอพระเมตตาจากพระเจ้าแทนผู้ที่จากไป
ในเวลาที่มีพิธีสวดภาวนาเพื่อผู้ล่วงลับซึ่งเราเรียกว่าวจนพิธีกรรมอุทิศแด่ผู้ล่วงลับ จะมีข้อความจากหนังสือพระคัมภีร์ที่ผู้เข้าร่วมจะได้อ่านข้อความเหล่านั้น สลับกับผู้ทำหน้าที่ก่อสวด การสวดภาวนาแบบนี้เป็นการสวดภาวนาของชุมชนคริสตชนที่มาร่วมกันแสดงความเชื่อในพระเจ้า ทั้งยังเป็นการสวดภาวนาแทนผู้ล่วงลับซึ่งเวลานี้ไม่สามารถสวดภาวนาด้วยตัวเองได้แล้ว มีข้อสังเกต ข้อความที่สวด จะใช้คำว่า “ข้าพเจ้า” ซึ่งความหมายแรกก็คือเป็นการสวดแทนตัวของผู้ล่วงลับ ที่วอนขอพระเมตตา การให้อภัย ความสุข ชีวิตนิรันดรจากพระเจ้า ในความหมายต่อมา ก็หมายถึงตัวของผู้สวดภาวนาเอง รวมทั้งบรรดาพี่น้องคริสตชนทุกคนที่ร่วมสวดภาวนา เพื่อขอพระเจ้าได้เมตตาต่อผู้ที่สวดภาวนานั้นเอง พี่น้องคงจำเรื่องราวในพระวรสาร มีคนกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อว่าพระเยซูเจ้าสามารถทำอัศจรรย์รักษาคนป่วยได้ เขาแบกหามคนป่วยมาหาพระเยซู เพื่อขอให้พระองค์ทำการรักษาให้หาย เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของคนที่หามคนป่วยมา พระองค์ก็ทรงรักษาคนป่วยคนนั้น ให้เขาลุกขึ้นเดิน การแสดงความเชื่อในพระเจ้าจึงเป็นเรื่องที่เป็นของส่วนตัวและส่วนรวม ที่จะก่อให้เกิดผลในตัวบุคคลอื่นได้ด้วย
ทุกวันอาทิตย์ต้นเดือนจะมีพิธีโปรดศีลล้างบาปให้เด็กๆ ที่วัดของเราจะมีพ่อแม่มาติดต่อและนำลูกมาขอรับศีลล้างบาปสม่ำเสมอ มากบ้างน้อยบ้าง เป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าวัดของเรายังมีอนาคต มีเด็กๆ ที่จะเติบโตเป็นเยาวชน เป็นผู้ใหญ่ ที่จะมาสืบต่อความเชื่อและทำให้ชุมชนความเชื่อแห่งนี้ดำเนินต่อไป พ่อมีโอกาสได้พบกับเพื่อนพระสงฆ์ที่อยู่ต่างจังหวัด ตั้งแต่ต้นปีมีเด็กรับศีลล้างบาปคนเดียว สัตบุรุษของที่วัดก็มีแต่คนสูงอายุ คนมาวัดน้อยลง เป็นสภาพความจริงที่พบเห็นในวัดต่างจังหวัด
พิธีโปรดศีลล้างบาปเป็นความเชื่อและความชื่นชมยินดี ไม่ใช่เพียงแค่ผู้เป็นพ่อแม่หรือครอบครัวญาติพี่น้องของเด็กคนนั้นเท่านั้น แต่ยังเป็นความชื่นชม ความสุข เป็นความหวังและอนาคตของชุมชนด้วย การที่คู่แต่งงานให้คำมั่นสัญญาเมื่อวันแต่งงานและเริ่มต้นสร้างครอบครัว เขาได้มีส่วนร่วมในแผนการณ์ของพระเจ้าที่จะเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิต เมื่อลูกได้การเกิดมามีชีวิตบนโลก ก็เป็นพ่อแม่เองที่จะถ่ายทอดความเชื่อ สอนเขาให้รู้จักพระเจ้า สอนให้เป็นคนดี และส่วนที่ถือว่าเป็นความสำคัญที่สุดประการหนึ่งก็คือการให้ลูกได้รับศีลล้างบาป ซึ่งจะทำให้เด็กคนนั้นได้รับการชำระล้างบาปกำเนิด ได้เป็นลูกของพระเจ้า วันที่ลูกได้รับศีลล้างบาปจึงเป็นวันสำคัญที่สุดของชีวิตวันหนึ่ง เด็กตัวน้อยๆอาจจะยังไม่เข้าใจความหมายและความสำคัญ แต่ผู้เป็นพ่อแม่และชุมชนจะร่วมแสดงความชื่นชมยินดี พ่อเคยมีประสบการณ์ไปเยี่ยมวัดแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลี เป็นวัดเล็กๆในชนบท วันนั้นมีพิธีโปรดศีลล้างบาปให้เด็กทารก พ่อแม่จัดชุดสวยงามให้กับลูกสาวเหมือนเป็นเจ้าหญิงตัวน้อย มีเพื่อนบ้านมาร่วมในพิธี หลังจากพิธีก็มีการเลี้ยงฉลองใหญ่โต ศีลล้างบาปได้เปลี่ยนสถานะให้คนหนึ่งให้เป็นลูกของพระเจ้า จึงเป็นวันแห่งความสุขและความชื่นชมยินดีของทุกคน.
สวัสดี…พ่ออดิศักดิ์