บทอ่านจากบทเทศน์ โดยนักบุญเลโอ ผู้ยิ่งใหญ่ พระสันตะปาปา
เราได้รับกฎหมายโดยทางโมเสส ส่วนพระหรรษทานและความจริงมาถึงเราโดยทางพระเยซูคริสตเจ้า
พระเจ้าได้ทรงแสดงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ ต่อหน้าพยานที่เลือกสรรไว้ พระกายของพระองค์ก็เหมือนกับร่างกายของมนุษย์ทั่วไป แต่พระองค์ได้ทรงบันดาลให้พระกายนั้นส่องแสงเจิดจ้า จนว่าพระพักตร์ของพระองค์สว่างดังดวงอาทิตย์ และ พระภูษาขาวเหมือนหิมะ
เหตุผลในการประจักษ์พระวรกายของพระองค์ ก็คือเพื่อมิให้บรรดาอัครสาวกเข้าใจว่า พระทรมานบนกางเขนนั้นเป็นเรื่องอัปยศอดสูและเพื่อป้องกันอย่าให้การรับทรมาน โดยสมัครใจของพระองค์นั้น สั่นคลอนความเชื่อของพวกเขา ในเมื่อพวกเขาได้รู้เห็นเป็นพยานในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ซึ่งบังซ่อนอยู่
สิ่งที่พระองค์ทรงคิดถึงไม่น้อยก็คือ พระองค์ได้ทรงวางรากฐาน ที่แข็งแรงวางใจได้สำหรับพระศาสนจักร พระวรกายทั้งครบของพระคริสตเจ้า ต้องเข้าใจว่าเป็นการประจักษ์พระวรกายของพระองค์ พระองค์ซึ่งเราได้รับเป็นของพระราชทานสมาชิกของพระวรกายนี้ ควรรอคอยรับส่วนในพระสิริรุ่งโรจน์ซึ่งส่องรัศมีเจิดจ้าในพระคริสตเจ้าผู้เป็นศีรษะ
พระคริสตเจ้าเองได้ตรัสถึงเรื่องนี้ เมื่อพระองค์ทรงทำนายถึงสิริรุ่งโรจน์ในการเสด็จมาของพระองค์ “เมื่อนั้นผู้ชอบธรรมจะส่องแสงดังดวงอาทิตย์ในพระอาณาจักรของพระบิดาเจ้า” นักบุญเปาโลได้เป็นพยานยืนยันความจริงข้อนี้ เมื่อท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้ายึดมั่นว่าความทุกข์ของโลกนี้ เทียบไม่ได้กับสิริรุ่งโรจน์ในอนาคต ซึ่งจะปรากฏในตัวเรา” อีกตอนหนึ่งท่านนักบุญกล่าวว่า “ท่านตายแล้ว และชีวิตของท่านซ่อนอยู่กับพระคริสตเจ้าในพระเป็นเจ้า เมื่อพระคริสตเจ้า ซึ่งเป็นชีวิตของท่านปรากฏมา ท่านเองก็จะปรากฏมากับพระองค์ในสิริรุ่งโรจน์ด้วย”
สิ่งน่าพิศวงของการประจักษ์พระวรกายของพระองค์ ยังมีบทเรียนอื่น ๆ อีกสำหรับบรรดาอัครสาวก คือทำให้พวกเขามีกำลังแข็งแรง และมีความรู้ครบบริบูรณ์ โมเสสและเอลียาห์ กฎหมายและประกาศก ปรากฏมาสนทนากับพระคริสตเจ้า ทั้งนี้ ต่อหน้าคนห้าคน ก็เพื่อให้สำเร็จไปอย่างครบบริบูรณ์ตามพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า “ต่อหน้าพยานสองหรือสามคน คำทุกคำย่อมได้รับการรับรอง” จะหาถ้อยคำใดมั่นคงมากกว่า และเชื่อถือได้มากกว่าถ้อยคำประสานเสียงอย่างไพเราะซึ่งได้ถูกประกาศด้วยแตรของพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ และด้วยการประกาศของบรรดาประกาศกสมัยก่อน กับคำสั่งสอนของพระวรสาร ซึ่งคล้องจองกันอย่างเป็นเอกฉันท์?
ข้อความที่เขียนไว้ในสองพันธสัญญาส่งเสริมกันและกัน รัศมีแห่งการประจักษ์พระวรกายของพระองค์ แสดงอย่างแจ่มแจ้งและอย่างไม่ผิดพลาดถึงพระองค์ที่ถูกสัญญาไว้ด้วยหมายสำคัญ ที่ทำนายถึงพระองค์ ภายใต้ม่านแห่งธรรมล้ำลึก นักบุญยอห์นกล่าวว่า “เราได้รับกฎหมายโดยทางโมเสส พระหรรษทานและความจริงมาถึงเราโดยทางพระเยซูคริสตเจ้า” ในพระองค์พระสัญญาที่ทำไว้โดยทางบรรดาประกาศกได้เปิดเผยออก พร้อมกับความหมายครบบริบูรณ์ของคำสั่งของกฎหมาย พระองค์ทรงเป็นผู้สอนความจริงของพระทำนาย ด้วยการสถิตอยู่ของพระองค์ พระองค์ทรงบันดาลให้การนอบน้อมต่อพระบัญญัติ เป็นไปได้ด้วยพระหรรษทาน
ในการประกาศพระวรสาร ทุกคนควรรับพละกำลังของความเชื่อ อย่าให้มีสักคนละอายด้วยกางเขนของพระคริสตเจ้า ซึ่งโดยทางกางเขนนี้โลกได้รับการกอบกู้
ขออย่าได้มีสักคนกลัวรับความลำบาก เพราะเห็นแก่ความยุติธรรม ขออย่าได้มีสักคนเสียความไว้ใจ ในบำเหน็จรางวัลที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ หนทางแห่งการพักผ่อนคือมุมานะในการงาน หนทางแห่งชีวิตคือ ความตาย พระคริสตเจ้าได้ทรงรับความอ่อนแอ ในธรรมชาติต่ำต้อยของมนุษย์ เป็นของพระองค์เอง ถ้าเรามั่นคงในความเชื่อและในความรักต่อพระองค์ เราจะพิชิตชัยชนะ ที่พระองค์ทรงพิชิตมาแล้ว และเราจะได้รับสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้
เมื่อถึงคราวเราต้องนอบน้อมต่อพระบัญญัติหรือทนต่อเหตุร้ายต่าง ๆ ขอให้พระวาจาซึ่งพระบิดาตรัสไว้ ดังก้องอยู่ในหูของเรา “นี่คือบุตรสุดที่รักของเรา เราพอใจท่านมาก จงเชื่อฟังท่านเถิด”
อับรามได้รับการเชื้อเชิญจากพระเจ้าให้ออกจากแผ่นดินถิ่นเกิด จากบ้านบิดา จากญาติพี่น้อง ไปยังแผ่นดินที่พระเจ้าจะชี้บอกท่าน โดยทรงสัญญาว่า….“จะอวยพรท่าน…จะทำให้ชื่อเสียงของท่านเลื่องลือ…จะอวยพรผู้ที่อวยพรท่าน…จะสาบแช่งผู้ที่สาบแช่งท่าน…ท่านจะนำพรมาให้ผู้อื่น บรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นจะได้รับพรเพราะท่าน…” แล้วอับรามก็ออกเดินทางตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส…
อับรามออกเดินทางตามที่พระเจ้าทรงเรียกและชี้บอก แต่ในพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงเชื้อเชิญ เปโตร ยากอบและยอห์น ให้ออกเดินทางเช่นเดียวกัน แต่ทรงเชื้อเชิญเขาให้ไป “พร้อมกับพระองค์” บนภูเขาสูงที่ปราศจากผู้คน ทรงพาเขาไปยังที่ที่พระองค์ทรงต้องการเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ทรงนำพวกเขาไปและอยู่ด้วยตลอดเวลา สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อทรงอยู่ตามลำพังกับศิษย์ทั้งสาม “พระวรกายก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา พระพักตร์เปล่งรัศมีดุจแสงอาทิตย์ ฉลองพระองค์มีสีขาวดุจแสงสว่าง ณ ที่นั้น โมเสสและเอลียาห์ก็สำแดงตนสนทนากับพระองค์ด้วย”
พระเยซูเจ้าทรงเลือกที่จะพาเปโตร ยากอบ และยอห์น ให้มารู้จักพระองค์มากขึ้น ได้เห็นด้วยตา มีประสบการณ์ตรงกับพระองค์ด้วยการอยู่ร่วมกัน จนเปโตรต้องเอ่ยออกมาว่า “ที่นี่สบาย น่าอยู่จริงๆ ข้าพเจ้าจะสร้างเพิงขึ้นสามหลัง หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ อีกหลังหนึ่งสำหรับโมเสส และอีกหลังหนึ่งสำหรับเอลียาห์” และได้ยินเสียงหนึ่งดังจากก้อนเมฆสว่างจ้าซึ่งลอยปกคลุมพวกเขาไว้ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด”
พี่น้อง วันนี้ พระเจ้าตรัสกับเราหลายอย่าง….
- ภูเขาสูง ที่ปราศจากผู้คน คือที่ที่เราจะมีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้า เป็นที่ซึ่งเราจะได้พบพระเจ้า…
พระเจ้า…ผู้ที่เราจะได้เห็นพระวรกายของพระองค์แตกต่างไปจากที่คนอื่นเห็น
พระเจ้า…ผู้ที่พระพักตร์เปล่งรัศมีดุจแสงอาทิตย์ ฉลองพระองค์มีสีขาวดุจแสงสว่าง เมื่ออยู่ใกล้รู้สึกอบอุ่น สบายเมื่อพิศเพ่งพระพักตร์จะได้พบเห็นหนทาง ความจริง และชีวิต - พระองค์ทรงเชื้อเชิญเรา…. เช่นเดียวกับเปโตร ยากอบ และยอห์น ให้มาอยู่กับพระองค์ สัมผัสความรู้สึกสบาย ในที่ที่น่าอยู่ ไม่แปลกเลยที่เปโตรจะพูดว่า “ที่นี่สบาย น่าอยู่จริงๆ” สบายจนท่านอยากจะอยู่ตรงนี้ตลอดไป จึงคิดอยากจะสร้างเพิงขึ้นสามหลัง การได้อยู่กับพระเจ้าตามลำพัง เป็นการนำตนเองไปจุ่มลงในเพิงของพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาให้เราสร้างเพิงสำหรับตนเอง พร้อมกับเชื้อเชิญให้พระองค์เข้ามาพำนักอยู่กับเรา สนทนากับพระองค์ ปรนนิบัติพระองค์ในทุกๆ วันตลอดชีวิต และนี่คือเป้าหมายการสร้างเรามนุษย์ สิ่งสร้างของพระเจ้า
- เสียงหนึ่งดังออกมาจากก้อนเมฆสว่างจ้าที่ลอยปกคลุมทุกคนที่อยู่ในบริเวณ บอกว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสยืนยันกับศิษย์ทั้งสามถึงองค์พระเยซูเจ้าว่า เป็นบุตรสุดที่รัก ผู้ที่เราพอใจยิ่ง เมื่อรู้ดังนี้แล้ว จงเชื่อฟังท่านผู้นี้เถิด พี่น้อง….บ่อยครั้งที่เราอาจจะไม่ได้ยินเสียงของพระองค์ อย่างน้อย แม้เราอาจไม่ได้ยิน แต่ก้อนเมฆยังคงลอยปกคลุมเราอยู่ ทุกครั้งที่เราแหงนมอง ขอให้เรามั่นใจว่า องค์พระเจ้าตรัสกับเราด้วยเช่นเดียวกัน ว่า “พระเยซูเจ้าเป็นบุตรสุดที่รัก ผู้ที่เราพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด”
เมื่อเราอ่าน “ชีวิตของอับราม” ทำให้เราเชื่อมั่นได้ในพระสัญญาของพระเจ้า ผู้ทรงให้คำมั่นแล้วทรงไม่เคยละเลยหรือหลงลืม การตัดสินใจออกเดินทางตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสในวันนั้น พระเจ้าทรงอวยพร และเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นก็ได้รับพรเพราะท่าน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ชื่อเสียงของท่านเลื่องลือ และท่าน คือ “บิดาแห่งความเชื่อ” ของเรา
และในพระวรสาร “ชีวิตขององค์พระเยซูเจ้า” ยิ่งย้ำชัดให้เรามั่นใจมากขึ้นถึงพระสัญญาของพระองค์ และไม่สัญญาแต่เพียงว่าจะอวยพรเรา เหมือนกับที่ทรงสัญญากับอับราม แต่โดยชีวิตของพระองค์เองนี่แหละที่เป็นธารพระพรหลั่งไหลมาสู่เราทุกคน
ผ่านความรุ่งโรจน์ เมื่อเราพิศเพ่งความเรืองรองของพระวรกาย พระพักตร์ และฉลองพระองค์ที่ทรงสวมใส่ บนภูเขาที่มีโมเสส และเอลียาห์อยู่เคียงข้าง
ผ่านความตายบนกางเขน เมื่อเราเพิศเพ่งรอยเฆี่ยนบนพระวรกาย รอยเลือดและรอยนิ้วมือบนพระพักตร์ที่ถูกตบตี และฉลองพระองค์เพียงชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ บนเนินหัวกะโหลกที่มีเพียงพระมารดาและศิษย์ที่ทรงรักยืนรออยู่
พี่น้อง…จงใช้เวลาในเทศกาลมหาพรต โดยการเข้ามามีส่วนร่วมทนทุกข์ทรมานเพื่อข่าวดีโดยพระอานุภาพของพระเจ้า ผู้ทรงช่วยเราให้รอดพ้นและทรงเรียกเราให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เราทำ แต่เพราะพระประสงค์และพระหรรษทานของพระองค์….เถิด
ขอพระเจ้าอวยพระพร…