วันนี้เป็นวันครบรอบการประกาศรับรองบุญราศีนิโคลาส บุญเกิด กฤษบำรุง ซึ่งพระสันตะปานักบุญยอห์นปอลที่ 2 ได้ทำพิธีมิสซาสถาปนาในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2000 ท่านบุญราศี นิโคลาส บุญเกิด เป็นพระสงฆ์ที่ได้ทำหน้าที่อย่างดีโดยเฉพาะการสอนคำสอนและแบบอย่างชีวิต ช่วงเวลา 3 ปีที่คุณพ่อถูกจองจำในที่คุมขัง คุณพ่อใช้เวลาเพื่อสอนคำสอน มีผู้สมัครเรียนคำสอนและคุณพ่อได้โปรดศีลล้างบาปให้ถึง 68 คน เป็นงานแพร่ธรรมชิ้นสุดท้ายที่คุณพ่อกระทำขณะที่มีชีวิต การสอนคำสอนของคุณพ่อในเวลานั้น ในสถานการณ์แบบนั้น คงทำได้เพียงการเล่าเรื่องพระเจ้าและประสบการณ์ชีวิตของคุณพ่อที่มีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า คงเป็นเรื่องราวที่ผู้คนสนใจและทำให้พวกเขาเหล่านั้นได้รู้จักและมีความเชื่อในพระเจ้านำสู่การกลับใจ และขอรับศีลล้างบาป
ในสถานที่ที่คุณพ่อถูกจองจำมีช่วงเวลาที่คุณพ่อได้เรียนรู้และยอมรับว่าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า จากสิ่งที่คุณพ่อได้เขียน “ระหว่างที่ลูกอยู่ในที่คุมขัง เหมือนนกใหม่ถูกขังในกรง นับว่ารู้สึกลำบากมาก เศร้าใจไม่ใช่น้อย ….ถึงกระนั้นก็ดี ลูกรู้สึกว่าพระเจ้าทรงบันดาลให้เป็นไปเช่นนี้ ลูกจึงขอรับโทษทัณฑ์อันนี้ตามน้ำพระทัยขอพระ เพื่อชดเชยความผิดบาปของลูก…” คุณพ่อนิโคลาส ไม่ยอมอยู่ใต้ความกดดันและความคิดแบบนั้น ท่านยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นและปรับชีวิตอยู่กับสภาพที่เป็นอยู่ในเวลานั้น หากจะเทียบกับช่วงเวลามหาพรต ก็เป็นมหาพรตแห่งชีวิตของคุณพ่อ ที่ค่อยๆปรับท่าทีจากการไม่ยอมรับในตอนแรก ก็ค่อยๆยอมรับและพร้อมที่จะน้อมรับความยากลำบาก การมีข้อจำกัด ความเจ็บป่วยของชีวิต ที่สุดก็ได้ก้าวเข้าสู่ปัสกาพร้อมกับพระเยซูเจ้า โดยพระเยซูทรงนำพาคุณพ่อกลับคืนชีพและรับความรุ่งเรืองกับพระองค์ในเมืองสวรรค์
มหาพรตเป็นช่วงเวลาที่พระศาสนจักรกำหนดไว้ 40 วัน เพื่อบรรดาคริสตชนได้เตรียมตัวเตรียมจิตใจสมโภชปัสกา การการสิ้นพระชนม์และการเสด็จกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าเป็นเวลาที่เรียกร้องให้พี่น้องคริสตชนได้กลับใจ เป็นทุกข์ถึงบาปและเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้แต่ละคนได้สำนึกและยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป ตอนปลายของเทศกาลมหาพรต ในสัปดาห์สุดท้ายที่เราเรียกว่าสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์เป็นช่วงเวลาที่เราจะร่วมใจกันรำลึกถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าจะทรงรับทรมาน ถูกตัดสินให้ประหารชีวิต พระองค์ทรงแบกกางเขนและสิ้นพระชนม์หลังจากนั้นพระองค์ได้เสด็จกลับคืนชีพ เหตุการณ์ที่เกิดกับพระเยซูเจ้าเป็นการรับโทษแทนมนุษย์ทุกคน การคืนชีพของพระองค์ก็ส่งผลมาถึงพวกเราทุกคนด้วย พวกเราอยู่ในยุคสมัยที่คนต่างคิดว่าตัวเองถูกต้องเสมอ จะทำอะไรก็มีเหตุผล ไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องผิดถูก มักจะไม่ได้มองดูสิ่งที่ตนเองได้ทำ และไม่ยอมรับว่าตนเองมีความอ่อนแอ ความบกพร่อง ความผิดและบาป ที่ตนเองจะต้องปรับปรุงแก้ไข ที่สุดก็เป็นประโยคที่มักจะพูดกับตัวเองว่า ฉันไม่ได้ทำผิดอะไร ชีวิตไม่บกพร่อง ไม่ได้ทำบาป และเมื่อมีมุมมองแบบนี้จึงไม่มีท่าทีว่าจะต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไร
การประชุมสภาภิบาลครั้งที่ผ่านมา ได้มีการหารือกันอยากให้มีมุมกาแฟเหมือนที่ได้เคยจัดก่อนหน้านี้ เพื่อเป็นสถานที่และโอกาสให้พี่น้องได้มาพบปะ พูดคุย ทำความรู้จักกันมากขึ้น จะใช้สถานที่บริเวณด้านข้างวัดน้อยหรือด้านหลังหอระฆัง และในบางโอกาส อาจจะมีการจัดกิจกรรมบางอย่าง พี่น้องหลายท่านมีประสบการณ์ชีวิตเติบโตมาในบรรยากาศหมู่บ้านคริสตน ที่มีพี่น้องอยู่ในละแวกใกล้ๆกัน มีเพื่อนบ้านที่แม้จะไม่ได้เป็นญาติพี่น้อง แต่ก็รู้จักกัน พูดคุยกัน ไปวัดด้วยกัน แต่ก็มีพี่น้องอีกหลายท่านที่ไม่เคยมีบรรยากาศแบบนั้น บ้านพักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านหรือคอนโด ไม่รู้จักกัน เวลามาวัดก็แทบไม่รู้จักใคร สำหรับบรรดาคริสตชนใหม่ ช่วงที่เรียนคำสอนก็ยังพอมีเพื่อนร่วมรุ่น นัดกันมาวัดแต่หลังจากรับศีลล้างบาปแล้วบางทีก็ไม่ค่อยว่างไม่ค่อยได้นัดกับใคร หากยังมีความเชื่อศรัทธาที่เข้มแข็งก็มาวัดตัวคนเดียว อาจจะมีเพื่อนรู้จักกันบ้างแต่ไม่มากนัก เป็นอีกวิธีที่เราจะก้าวเดินไปด้วยกันตามแนวทางที่พระศาสนจักรแนะนำ…
สวัสดี…พ่ออดิศักดิ์