วันอาทิตย์ที่แล้วเป็นวันสมโภชปัสกา และตลอดสัปดาห์ก็มีชื่อเรียกว่าอัฐมวารปัสกาหมายถึง 8 วันการฉลองปัสกา วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของอัฐมวาร พี่น้องคงจะเข้าใจความหมายของการสมโภชปัสกา มีความหมายว่าเป็นการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา บทอ่านจากพระคัมภีร์ในพิธีบูชามิสซา ก็เป็นเรื่องราวประสบการณ์ของบรรดาบุคคลที่เคยอยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้า พวกเขาได้มีโอกาสเห็น ได้สัมผัส ได้พูดคุยและร่วมชีวิตกับพระเยซูเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เมื่อสัปดาห์ก่อนในช่วงที่เราเรียกว่าพระทรมานของพระเยซูเจ้า บรรดาคนใกล้ชิดทั้งหลาย ต่างระมัดระวังตัว เก็บตัวเงียบหรือพูดให้เข้าใจก็คือต่างเอาตัวรอด ขณะเดียวกันพวกเขาคงได้รู้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่พระเยซูเจ้าทรงได้รับทรมานจนกระทั่งการสิ้นพระชนม์ แต่ว่าเรื่องการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ได้เป็นความประหลาดใจทั้งช่วยให้ความหวาดกลัวคลายลงไป
การกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า ทำให้บรรดาศิษย์กลับมารวมตัวกัน แม้จะยังมีความตระหนกกับเรื่องราวที่อาจารย์ของตนถูกทรมานจนตาย แต่บัดนี้ได้กลับคืนชีพ คนที่มาเล่าเรื่องให้ฟังก็คือมารี มักดาลา เธอตั้งใจไปที่หลุมฝังศพของพระเยซูตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เมื่อไปถึงก็พบว่าหินที่ปิดปากคูหาถูกกลิ้งออกไปจากพระคูหา เมื่อมองเข้าไปดูก็ไม่พบร่างของพระเยซูเจ้า สตรีนั้นรีบวิ่งไปบอกเล่าเรื่องราวให้บรรดาสาวก เปโตรและยอห์นได้วิ่งมาที่พระคูหา ได้เห็นเพียงผ้าพันพระศพและผ้าพันพระเศียร
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมารี มักดาลา ที่ร้องไห้เมื่อไม่เห็นร่างของพระเยซูและมีความคิดว่าคงจะมีใครขโมยพระศพไป พระเยซูเจ้าทรงอยู่ที่นั่นแต่นางจำพระองค์ไม่ได้ พระองค์ถามนางว่าร้องไห้ทำไม กำลังเสาะหาผู้ใด เธอจึงถามกลับไปว่า ท่านทราบไหมว่า ใครนำร่างของพระเยซูไป เธอได้ยินผู้นั้นเรียกชื่อ เธอจำสำเนียงได้นั่นคือพระอาจารย์ พระเยซูเจ้าที่เธอตามหา
เรื่องของเปโตรและยอห์นที่วิ่งมาดูที่คูหา ทั้งสองก็พบเห็นแต่เพียงว่า บัดนี้ไม่มีร่างของพระเยซูเจ้าอยู่ที่นั่น การถูกตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์และนำศพไปฝังในคูหาเป็นการสิ้นสุดของความวุ่นวายที่เกิดขึ้น บรรดาศิษย์และและคนที่เคารพรักในพระเยซูก็แยกย้ายกันไป ศิษย์ 2 คนออกเดินทางกลับบ้านที่เอมมาอูส ขณะเดินก็มีคนแปลกหน้าร่วมทางได้เข้ามาพูดคุยสนทนา มีการพูดถึงเหตุการณ์ที่เยรูซาเล็ม การประหารชีวิตนักโทษด้วยการตรึงกางเขน ค่ำวันนั้นขณะที่ชายแปลกหน้าผู้ร่วมเดินทางร่วมรับประทานอาหาร พระองค์ทรงบิขนมปัง ยื่นให้เขา เขาทั้งสองจึงจำพระองค์ได้ แต่พระองค์หายไปจากสายตาของพวกเขา คืนนั้นเองที่เขาทั้งสองได้ออกเดินทางกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อเล่าประสบการณ์ให้บรรดาสาวกฟัง
บรรดาศิษย์รวมตัวกันในห้องชั้นบนที่พวกเขาได้เคยกินปัสกากับพระอาจารย์ พระเยซูเจ้าได้ปรากฏตัวให้พวกเขาได้เห็น ทีแรกพวกเขาบางคนคิดว่าเป็นผี แต่พระองค์ยืนยันว่าไม่ใช่ผีเป็นตัวของพระองค์ที่กลับคืนชีพ ท้าทายให้พวกเขาได้สัมผัสร่างกายของพระองค์ ที่มีรอยตะปูที่มือและรอยถูกแทงที่สีข้าง ทรงร่วมทานอาหารกับพวกเขาด้วย บรรดาสาวกในห้องนั้นได้พูดคุย ฟังเสียง มีบางคนได้สัมผัสพระองค์ ที่สำคัญคือพระองค์ต้องการให้บรรดาศิษย์ทุกคนมีความเชื่อมั่นว่าพระองค์ได้กลับคืนชีพ ได้ถูกทรมานจนตาย บัดนี้ร่างของพระองค์ไม่อยู่ในคูหา พระองค์ฟื้นคืนชีพมีชีวิตใหม่
การรวมตัวเงียบๆของสาวก รวมทั้งของผู้คนมากมายที่ได้ติดตามพระเยซูเจ้า เมื่อได้รับรู้ถึงการกลับคืนชีพของพระองค์ พวกเขาต่างชื่นชม มีความสงบสุข พวกเขาไม่ได้ล้มเหลว ไม่ผิดหวัง ไม่เสียใจ ไม่ได้คิดผิดที่ติดตามพระเยซู เวลานี้พระเยซูผู้เคยมีสภาพเป็นมนุษย์ไม่ได้มีชีวิตแบบมนุษย์ทั่วไปแต่มีสภาพชีวิตใหม่ ทรงปรากฏในที่ต่างๆ ที่เยรูซาเล็ม กาลิลี ไม่ใช่เพียงสาวกที่ได้พบกับพระเยซูเจ้า พระองค์ได้ทรงพบปะผู้คนหลากหลายความเชื่อ การกลับคืนชีพของพระเยซูทำให้ความคิดและทัศนคติของผู้คนที่เคยรู้จัก ยอมรับ เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพมีชีวิตและสามารถอยู่ใกล้ชิดพี่น้องทุกคน ไม่มีความจำกัดใดๆ พระองค์ทรงประทับและพบปะกับพวกเราทุกคนได้เสมอ
สวัสดี…คุณพ่อเจ้าอาวาส