บทอ่านจากหนังสือกล่าวถึงการภาวนาโดยออริเจ็น พระสงฆ์
พระอาณาจักรของพระองค์จงมาถึง
ตามพระวาจาของพระผู้ไถ่ของเรา “อาณาจักรของพระเป็นเจ้ามิได้มาถึงตามแบบที่เราจะเห็นได้ ไม่มีใครจะพูดได้ว่า ดูซิ อยู่นี่แล้ว หรือ อยู่นั่นแน่ะ เหตุว่าอาณาจักรของพระเป็นเจ้าอยู่ในเราเอง พระวาจาของพระเจ้าอยู่ใกล้เรามาก อยู่บนริมฝีปากและ ในใจของเรา” จึงเห็นได้ชัดว่า เมื่อคนใดคนหนึ่ง ภาวนาขอให้อาณาจักรของพระเป็นเจ้ามาถึง เขาจึงภาวนาอย่างที่เขาควรภาวนา เพื่อว่าอาณาจักรของพระเป็นเจ้าซึ่งอยู่ในเขาจะได้ปรากฏออกมา เจริญขึ้นและเติบโตเต็มที เพราะพระเป็นเจ้าทรงครองราชย์อยู่ในบรรดานักบุญ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ย่อมปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าผู้ประทับอยู่ในพวกเขา เหมือนในนครที่มีการปกครองเป็นระเบียบเรียบร้อยดี พระบิดาสถิตอยู่ในวิญญาณที่ครบครัน และพระคริสตเจ้าทรงครองราชย์ร่วมกับพระบิดา ดังที่พระองค์ตรัสว่า “เราจะมาหาเขาและจะพ่านักอยู่กับเขา”
สำหรับพวกเรา ที่รีบรุดหน้าไปอย่างไม่หยุดหย่อน อาณาจักรของพระเป็นเจ้า ซึ่งอยู่ในเราจะบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ เมื่อวาจาของท่านอัครสาวกสำเร็จไป คือเมื่อพระคริสตเจ้าได้ทรงปราบศัตรูให้อยู่ใต้อำนาจของพระองค์แล้ว จะทรงมอบ “อาณาจักรแด่พระบิดาเจ้า เพื่อพระเป็นเจ้าจะได้เป็นทุกสิ่งสำหรับทุกคน” ดังนั้น เมื่อเราภาวนาอย่างไม่ว่างเว้น ด้วยจิตตารมณ์ซึ่งพระวจนาตถ์ทรงบันดาลในใจเรา ให้เราทูลพระ บิดาผู้สถิตในสวรรค์ว่า “พระนามจงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง”
ในเรื่องอาณาจักรของพระเป็นเจ้า เราต้องเข้าใจว่า โดยเหตุที่ “ความชอบธรรมและความอธรรมจะเคียงคู่กันไปไม่ได้ ความสว่างกับความมืดจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ พระคริสตเจ้ากับเบเลียลจะเข้ากันไม่ได้” อาณาจักรแห่งบาปจึงคงอยู่ร่วมกับอาณาจักรของพระเป็นเจ้าไม่ได้
ถ้าเราอยากมีพระเป็นเจ้าเป็นผู้ครองราชย์เหนือเรา ก็อย่าให้ “บาปครองร่างกายอันรู้ตายของเรา เราต้องทำลายสิ่งที่เป็นของโลกนี้ในเรา” และบังเกิดผลในพระจิตเจ้า เพื่อพระเป็นเจ้าจะได้ทรงดำเนินในเรา เหมือนในอุทยานและทรงครองราชย์ในเรา ร่วมกับองค์พระคริสตเจ้า เพื่อพระคริสตเจ้าจะได้ประทับอยู่ในเรา ณ เบื้องขวาอำนาจ ฝ่ายจิตซึ่งเราวอนขอ และพระองค์จะประทับอยู่จนกระทั่งศัตรูทั้งสิ้นของพระองค์ที่อยู่ในเรา จะกลับเป็นที่ “รองพระบาท” ของพระองค์ และอำนาจความยิ่งใหญ่และฤทธิ์เดชในเราถูกกำจัดให้สิ้นไป
สิ่งเหล่านี้อาจเกิดขึ้นกับเราแต่ละคน และศัตรูสุดท้ายของเราคือความตาย ก็จะถูกทำลายด้วย พระคริสตเจ้าจึงจะตรัสในตัวเราว่า “ความตาย พิษสงของเจ้าอยู่ไหนเล่า? ความตาย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน?” บัดนี้ จงให้ “สิ่งที่เสื่อมสลายได้ ในตัวเรา สวมใส่ “ความศักดิ์สิทธิ์และความไม่เสื่อมสลาย” ให้ “สิ่งที่ตายได้” สวมใส่ “อมรภาพของพระบิดา” เมื่อความตายถูกทำลายไปแล้ว พระเป็นเจ้าจะได้ทรงครองราชย์เหนือเรา และเราจะได้ดำรงชีวิตในพระคุณแห่งการบังเกิดใหม่ และการกลับคืนชีพตั้งแต่บัดนี้…
พระเจ้าทรงรักประชากรของพระองค์ เมื่อทรงให้กำเนิดมนุษย์ทรงตรัสว่า ดีมาก ทรงทำหน้าที่ประดุจพ่อที่ดูแลลูกทุกคนอย่างอิ่มหนำบริบูรณ์ ให้เวลา มอบโอกาส เมื่อทำผิดพลาดก็พร้อมเสมอที่จะให้อภัยครั้งแล้วครั้งเล่า ท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อเราประดุจนายชุมพาบาลที่เลี้ยงดูฝูงแกะของตนด้วยความเอาใจใส่ ปฏิบัติต่อแกะทุกตัวอย่างยุติธรรม ให้กินให้ดื่มในที่ที่อุดมสมบูรณ์ เมื่อหลงทางก็ออกตามหา เมื่อลำบากก็ช่วยเหลือ เมื่อหลงทางก็แสวงหาและนำกลับมา เมื่อบาดเจ็บที่พันแผลให้ เมื่ออ่อนล้าก็เสริมกำลัง พระเจ้าผู้ทรงไม่ได้อยู่แต่บนบัลลังก์อันรุ่งโรจน์ แต่ทรงส่งพระบุตรสุดที่รักลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกันกับเรา อยู่กับเรา ใช้ชีวิตแบบเรา สอนเรา เป็นแบบอย่างแก่เรา และสุดท้ายก็มอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อให้เราพ้นจากความบาปผิด ไม่มีสักคนที่ทรงเว้นไว้หรือมองข้ามไปอย่างไม่ใยดี ภาพลักษณ์ของพระเจ้าเหล่านี้สะท้อนให้เราเห็นและมั่นใจได้ถึงพระทัยดีของพระเจ้า และความรักอันมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์จนถึงที่สุด จนกว่าจะถึงวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง วันนั้นจะทรงกลับมาดุจกษัตริย์ เพื่อแยกเราออกเป็นสองพวก
พวกแรก คือ กลุ่มผู้ชอบธรรม ที่ไม่ละเลยพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดคนใดคนหนึ่งและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างยุติธรรมเสมือนกระทำกับองค์พระผู้เป็นเจ้าเอง
พวกที่สอง คือ กลุ่มคนอธรรม ที่มองข้ามความเดือดร้อนของผู้อื่น ไม่หยิบยื่นความช่วยเหลือต่อคนที่ลำบาก ไม่สนใจใยดีต่อความทุกข์ ไม่ให้ทั้งโอกาสและการให้อภัย เหยียบย่ำซ้ำเติมต่อความผิดพลาดของผู้อื่น
ในวันนั้น พระเจ้าจะไม่ทรงถามว่าเราเรียบจบอะไร มีปริญญากี่ใบ ประสบความสำเร็จในธุรกิจมากน้อยเพียงใด มีหน้ามีตา มีชื่อเสียง หรือมีทรัพย์สินมากน้อยเท่าใด มีบ้านกี่หลัง มีรถกี่คัน เพราะในวันสุดท้ายของชีวิต การมี ไม่สำคัญเท่ากับ “การเป็นและการกระทำที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่น โดยเฉพาะต่อผู้ที่เล็กน้อยที่สุดที่เราพบตลอดชีวิตของเรา”
เมื่อเพื่อนพี่น้องของเรา (หรือเรา) หิว ท่านให้อะไรพวกเขา(หรือเรา) กินไหม?
เมื่อเพื่อนพี่น้องของเรา (หรือเรา) กระหายท่านให้อะไรพวกเขา(หรือเรา) ดื่มไหม?
เมื่อเพื่อนพี่น้องของเรา (หรือเรา) เป็นแขกแปลกหน้าไปหาท่าน ท่านต้อนรับพวกเขา(หรือเรา)ไหม?เมื่อเพื่อนพี่น้องของเรา (หรือเรา)ไม่มีเสื้อผ้า ท่านให้เสื้อผ้าแก่พวกเขา(หรือเรา)ไหม?
เมื่อเพื่อนพี่น้องของเรา (หรือเรา) เจ็บป่วยท่านมาเยี่ยมพวกเขา(หรือเรา)ไหม?
เมื่อเพื่อนพี่น้องของเรา (หรือเรา) อยู่ในคุกท่านมาหาพวกเขา(หรือเรา)ไหม?
มีเรื่องราวเกิดขึ้นในชีวิตของคนเราอยู่ไม่มาก ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของมนุษย์กับมนุษย์ หรือมนุษย์กับสิ่งสร้าง ความสัมพันธ์อันเกี่ยวข้องกับเรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องสิ่งจำเป็นเพื่อการดำรงอยู่ เรื่องสุขภาพเมื่ออยู่ร่วมกันยามดีฝากผีฝากไข้ ยามร้ายไม่ผลักไสไล่ส่ง ให้การต้อนรับขับสู้ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เมื่อผิดให้โอกาส ให้อภัย รักษ์ ดูแล ใส่ใจสรรพสิ่งสร้างรอบตัวเสมือนหนึ่งเป็นพี่เป็นน้องที่อยู่ร่วมกันกับเรา
พระเจ้าไม่เคยเรียกร้องเกินกว่าที่กำลังเราจะให้ได้ ทรงขอร้องเราในเรื่องธรรมดาๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา
อยู่ที่ว่า เรามองเห็น หรือ เรามองข้าม
อยู่ที่ว่า เราใส่ใจ หรือ ไม่เอาใจใส่
อยู่ที่ว่า เราให้ความสำคัญ หรือ เราละเลย
อยู่ที่ว่า เราอ้าแขนต้อนรับ หรือ ผลักไส
อยู่ที่ว่า เราโอบกอด หรือ ซ้ำเติม รังเกียจเดียดฉันท์
และเราเมื่อรู้ดังนี้แล้ว…. ก็อยู่ที่ว่า เราจะเลือกที่จะนั่งอยู่เบื้องซ้าย หรือ เบื้องขวาในพระอาณาจักรของพระองค์ เมื่อวาระสุดท้ายของเราจะมาถึง… ขอพระเจ้าอวยพระพร…