ข้อคิดประจำวันอาทิตย์
พระวรสารวันนี้ มีสามประเด็นที่น่าสนใจซึ่งพ่อนำมารำพึงและเชิญชวนพี่น้องไตร่ตรองไปด้วยกัน
ประเด็นแรก ยอห์น (ผู้ทำพิธีล้าง) ชี้ให้ศิษย์สองคนดูพระเยซูเจ้า และพูดว่า “นี่คือ ลูกแกะของพระเจ้า” เมื่อศิษย์ทั้งสองคนได้ยินดังนั้น จึงติดตามพระเยซูเจ้าไป…ท่านยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง เป็นผู้นำหน้าพระผู้ไถ่ หน้าที่ของท่านมีเพียงสิ่งเดียวคือ ประกาศถึงพระแมสสิยาห์ และทำทุกทางให้พระพระแมสสิยาห์ผู้เสด็จมาเป็นที่รู้จัก… พี่น้องที่รัก “นี่คือ ลูกแกะของพระเจ้า” เราได้ยินคำนี้ทุกครั้งเมื่อเรามาร่วมบูชามิสซาขอบพระคุณ เมื่อพระสงฆ์ชูแผ่นปัง หรือ ศีลมหาสนิท พร้อมกับเอ่ยว่า “นี่คือลูกแกะพระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกมาร่วมงานเลี้ยงของพระองค์ ย่อมเป็นสุข” วินาทีนั้น พระสงฆ์กำลังทำหน้าที่แนะนำองค์พระแมสสิยาห์ ชี้ให้เห็นว่า นี่คือองค์พระแมสสิยาห์ ลูกแกะของพระเจ้า ผู้ที่เสด็จมาเพื่อลบล้างบาปของโลก(ของเรา) และเราทุกคนคือผู้ที่ถูกเชิญให้มาหาพระองค์ มาพำนักอยู่กับพระองค์ และร่วมในงานเลี้ยงของพระองค์ จงเป็นสุขเถิด
ข้อคิดเพื่อการไตร่ตรอง คือ หน้าที่ของประกาศถึงพระแมสสิยาห์ ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของท่านยอห์น หรือ ของพระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณเท่านั้น เราทุกคนก็ด้วยที่ทำหน้าดุจเดียวกัน ในการประกาศ แนะนำองค์พระแมสสิยาห์แก่พี่น้องที่อยู่รอบข้างเรา ด้วยวิธีใดบ้าง
- บอกเล่าถึงองค์พระเยซูเจ้า พระผู้ทรงช่วยเหลือ พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในชีวิตของเราอย่างไรให้แก่พี่น้องรอบข้างเรา
- เมื่อเรามาร่วมบูชามิสซาขอบพระคุณ ตอบรับกับพระสงฆ์ว่า “ลูกแกะพระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก ขอทรงพระกรุณาเทอญ ลูกแกะพระเจ้า ขอทรงประทานสันติเทอญ” หรือเมื่อได้ยินพระสงฆ์เอ่ยว่า “นี่คือลูกแกะพระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกมาร่วมงานเลี้ยงของพระองค์ ย่อมเป็นสุข” ให้เราตระหนักอยู่เสมอว่า พระแมสสิยาห์พระองค์ผู้นี้คือ พระผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตา ผู้ทรงประทานสันติแก่ชาวเรา ผู้ที่เชื้อเชิญเรามาร่วมในงานเลี้ยง มาร่วมส่วนในความสุขนิรันดรกับพระองค์
ประเด็นที่สอง บทสนทนาระหว่างพระเยซูเจ้าและศิษย์ทั้งสองของยอห์นที่เดินตามพระองค์ไปนั้น เป็นบทสนทนาสั้นๆ แต่น่าสนใจ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงหันพระพักตร์มาทอดพระเนตรเห็นเขากำลังติดตามพระองค์ จึงตรัสถามเขาว่า “ท่านต้องการสิ่งใด” เขาจึงทูลถามว่า “รับบี พระองค์ทรงพำนักอยู่ที่ไหน” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มาดูซิ” เมื่อได้ยินคำเชิญชวนดังนั้น พวกเขาจึงไปดู ได้เห็นที่ประทับของพระองค์ และพักอยู่กับพระองค์ในวันนั้น
ข้อคิดเพื่อการไตร่ตรอง คือ ท่าทีของศิษย์ของศิษย์ทั้งสองคนหลังจากได้ยินพระเยซูเจ้าตรัส คำว่า “มาดูซิ” เป็นเพียงคำเชิญชวนสั้นๆ แต่มีพลังดึงดูดใจ เขาจึงตามไปดู…ได้เห็น (ที่ประทับ) และพักอยู่กับพระองค์ พี่น้องครับ พระเยซูเจ้าไม่ได้ถาม ไม่ได้เชิญชวนเพียงแค่ศิษย์ทั้งสองคนในครั้งนั้น แต่ทรงถาม และเชิญชวนเราทุกคนด้วย
เมื่อพระองค์ทรงถามเราว่า “ท่านต้องการสิ่งใด” เราจะตอบพระองค์อย่างไร? คำตอบของเรา คือ
เมื่อทรงเชิญชวนเราว่า “มาดูซิ” ว่าพระองค์ทรงพำนักอยู่ที่ไหน เราจะไปหรือไม่? เมื่อเราได้เห็นแล้ว เราจะทำอย่างไร? จะพักอยู่กับพระองค์หรือไม่?
พี่น้องที่รัก ขอให้คำเชื้อเชิญนี้ ดังก้องอยู่ในใจของเราทุกวัน ก้าวเข้าในที่ประทับของพระองค์ และพำนักอยู่กับพระองค์เถิด…. “พักกับเรา พำนักอยู่กับเรา ตื่นเฝ้าภาวนา” เพราะโดยอาศัยการภาวนาและการอยู่กับพระองค์ในสถานนมัสการที่ซึ่งพระองค์ประทับอยู่ เรากำลังพาชีวิตของเราให้ดำรงอยู่ในพระหรรษทาน พระคุณและพระพรขององค์พระผู้ไถ่เสมอ
ประเด็นที่สาม อันดรูว์หนึ่งในสองคนที่เดินตามพระเยซูเจ้าไป กลับมาพบซีโมนผู้เป็นพี่ชายเป็นคนแรก จึงบอกกับพี่ชายว่า “เราพบพระแมสสิยาห์แล้ว” เขาได้พาพี่ชายไปเฝ้าพระเยซูเจ้า เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นเขา จึงตรัสว่า “ท่านคือซีโมน บุตรของยอห์น ท่านจะมีชื่อว่า “เคฟาส” (แปลว่า เปโตร หรือ ศิลา)
ข้อคิดเพื่อการไตร่ตรอง ประการแรก อันดรูว์ คือ ตัวแทนของผู้ที่ได้รับการแนะนำ เป็นตัวแทนของผู้ที่ได้รับการเชื้อเชิญ เป็นตัวแทนของผู้ที่ได้ยิน ได้ฟัง ติดตาม เสาะแสวงหา และใช้เวลาในการอยู่ร่วมกับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างมีคุณภาพ คงไม่มีประโยชน์ใดหากเราได้ยิน ได้เห็น (ที่ประทับ) แต่ไม่พำนักอยู่กับพระองค์ ไม่ใช้เวลาร่วมกับพระองค์ในที่ประทับของผู้ศักดิ์สิทธิ์ ประการที่สอง อันดรูว์ กลับมาพบซีโมนผู้เป็นพี่ชายเป็นคนแรก จึงบอกกับพี่ชายว่า “เราพบพระแมสสิยาห์แล้ว” และได้พาพี่ชายไปเฝ้าพระเยซูเจ้า อันดรูว์ทำหน้าที่ดุจเดียวกับท่านยอห์น เมื่อได้พบพระพระแมสสิยาห์แล้วก็บอกต่อและพาไปพบ คงไม่มีประโยชน์ที่เราจะเดินในหนทางแห่งความชอบธรรมแต่รู้สึกโดดเดี่ยว เพราะไม่มีเพื่อนร่วมเดินทางไปพร้อมกับเราเลย วิถีชีวิตคริสตชนเป็นวิถีของที่ผู้จาริกเป็นหมู่คณะ เป็นกลุ่มของผู้ที่มีความเชื่อ ความศรัทธา และมีใจปรารถนาอย่างยิ่งที่จะก้าวเดินไปเข้าเฝ้าองค์พระเยซูเจ้าบ่อยๆ เพื่อให้พระองค์ได้โอบกอดเราผู้เป็นบุตรสุดที่รัก ยิ่งกว่านั้น คงไม่มีประโยชน์หากเราจะเข้าสู่สวรรค์เพียงลำพัง สวรรค์คงกว้างใหญ่เกินกว่าที่จะอยู่กันเพียงน้อยนิด แต่จะเป็นความชื่นชมยินดีอย่างยิ่งในสวรรค์บ้านแท้นิรันดร หากเราเดินเข้าไปด้วยกันพร้อมกับพี่น้องที่อยู่รอบข้างเรา ไปเฝ้าองค์พระเยซูเจ้า อยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ในงานเลี้ยงด้วยใจที่เป็นสุข
พี่น้องที่รัก พ่อขอย้ำอีกครั้งว่า… ขอให้คำว่า “มาดูซิ” ที่พระเยซูเจ้าทรงเชิญชวนนั้น ดังก้องอยู่ในใจของเราทุกวัน และมีพลังผลักดันหัวใจของเราให้ร้อนรนที่จะบอกเล่าต่อไปยังพี่น้องรอบข้างเราถึงองค์พระแมสสิยาห์ผู้เสด็จมาในชีวิตของเราแล้วนั้น พาพวกเขาไปพบองค์พระเยซูเจ้า ก้าวเดินไปด้วยกันในวิถีทางของพระองค์จนลุถึงสวรรค์ และได้อยู่ร่วมกันในบ้านแท้ตลอดนิรันดร…