ข้อคิดประจำวันอาทิตย์
การประกาศถึงพระอาณาจักรพระเจ้า เรียกผู้คนให้กลับใจ และการเรียกสานุศิษย์ เป็นพันธกิจและเป้าหมายสำคัญของพระเจ้าตั้งแต่แรกเริ่มสร้างโลก สร้างสรรพสิ่งในโลก รวมถึงมนุษย์ผู้ซึ่งเปรียบประดุจภาพลักษณ์ของพระเจ้าในแผ่นดินโลก เมื่อมนุษย์ได้รับอำนาจครอบครองทุกสิ่งในโลก มนุษย์ได้รับพระพรแห่งสติปัญญา ความคิดอ่าน ทำให้มนุษย์มีปรีชาสามารถผลิตสรรพสิ่งเพิ่มขึ้นอีกมากมายจากพระพรของสติปัญญาและความคิดอ่านที่พระเจ้าประทานให้เพื่อเอื้ออำนวยให้การดำรงชีวิตในโลกสะดวกสบายและมีความสุข มนุษย์จึงมีแนวโน้มที่จะเริ่มใช้ชีวิตโดยนึกถึงแต่ความสุขของตัวเองเป็นตัวตั้ง จึงหลงและลืมสิ้นถึงองค์พระเจ้าพระผู้สร้างและให้ชีวิต กลับกระทำความผิดบาป เพราะความประมาทและขาดความระมัดระวัง และนับวันจะยิ่งทวีขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน นับตั้งแต่อาดัมและเอวามนุษย์คู่แรกทำบาป ต้องยอมรับว่าเราทุกคนก็ได้รับผลของบาปนั้นติดตัวมาด้วย นั่นหมายความว่า เราทุกคนล้วนแล้วมีความโน้มเอียงตามธรรมชาติไปในทางที่ผิดหลงได้เสมอหากเราดำรงชีวิตโดยปราศจากสติรู้คิดหรือการตระหนักรู้ในทุกๆขณะของการดำเนินชีวิต ด้วยเหตุนี้ จะเห็นว่า ในพันธสัญญาเดิม การประกาศถึงพระอาณาจักรพระเจ้า เรียกผู้คนให้กลับใจ เป็นแก่นของพันธกิจที่พระเจ้าทรงกระทำผ่านทางบรรดาประกาศก ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกด้วยตัวพระองค์เองให้กระทำพันธกิจสำคัญๆ ในเวลาหรือกาลนั้นๆ
บทอ่านที่หนึ่งวันนี้ พระเจ้าทรงเรียกประกาศกโยนาห์ มอบหมายพันธกิจ “จงลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์นครใหญ่ และประกาศเรื่องที่เราจะบอกท่านแก่เขา” โยนาห์ก็ลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์ตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อท่านเริ่มเดินเข้าไปในเมืองเป็นระยะทางเดินหนึ่งวัน ก็ร้องประกาศว่า “เตือน” แก่ชาวชาวนีนะเวห์ ว่า “อีกสี่สิบวัน กรุงนีนะเวห์จะถูกทำลาย” และพันธกิจของประกาศโยนาห์ที่นีนะเวห์ครั้งนี้ก็สำเร็จลง ด้วยว่าชาวกรุงนีนะเวห์เชื่อฟังพระเจ้า ประกาศให้ทุกคนอดอาหาร สวมเสื้อผ้ากระสอบ ตั้งแต่คนยิ่งใหญ่ที่สุด จนถึงคนต่ำต้อยที่สุด ผลก็คือ พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความพยายามของเขาที่จะกลับใจไม่ประพฤติชั่วอีกต่อไป พระเจ้าจึงทรงพระเมตตาไม่ลงโทษตามที่ตรัสไว้
พันธกิจของประกาศกโยนาห์ในบทอ่านที่หนึ่งเป็นพันธกิจและเป้าหมายเดียวกันกับที่องค์พระเยซูเจ้าทรงกระทำในพันธสัญญาใหม่ แต่หากจะพิจารณาให้ดีจะมีจุดต่างกันอยู่ 2 ประเด็นคือ
- ในพันธสัญญาใหม่ เป็นองค์พระเยซูเจ้า พระบุตรของพระเจ้า ที่ทรงลงมาเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในโลกเดียวกันกับเรา เป็นผู้กระทำการประกาศถึงพระอาณาจักรของพระองค์ด้วยตัวพระองค์เอง
- ถ้อยคำที่องค์พระเยซูเจ้าตรัส แตกต่างจากที่ถ้อยคำที่ประกาศกโยนาห์ป่าวประกาศออกไป
ประกาศกโยนาห์: “อีกสี่สิบวัน กรุงนีนะเวห์จะถูกทำลาย”
พระเยซูเจ้า: “เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด” ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงใช้เสียงของประกาศกในลักษณะชี้เป็นชี้ตาย ตรงไปตรงมา เป็นการตักเตือนให้กลับใจเพื่อให้พ้นการลงโทษหรือการทำลายล้าง แต่สำหรับองค์พระเยซูเจ้า พระบุตรพระเจ้าพระองค์ทรงตรัสเตือนด้วยถ้อยภาษาที่ตรงไปตรงมาแต่อ่อนโยน สะท้อนให้เราสัมผัสได้ถึงภาพลักษณ์ของพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรัก เมตตากรุณา พากเพียรอดทนและรอคอยหัวใจของมนุษย์ที่พร้อมจะหันหาพระเจ้าด้วยความถ่อมใจและสำนึกผิดมากกว่าเพราะความหวาดกลัว - ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงเรียกประกาศกเป็นตัวแทนของพระองค์ ทรงใช้ประกาศกและเสียงของเขาในการประกาศให้มนุษย์รู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้า แต่ในพันธสัญญาใหม่องค์พระเยซูเจ้าทรงเริ่มพันธกิจของพระเจ้าในโลกของเรา แต่พระองค์ไม่ทรงทำงานคนเดียว ทรงทำงานเป็นทีม จึงทรง “เรียกสานุศิษย์” เพราะทรงต้องการให้พันธกิจที่พระองค์ทรงเริ่มกระทำในโลกเรานี้ ยังคงอยู่ต่อไปตราบจนสิ้นพิภพ
ในพระวรสารวันนี้ “ขณะที่ทรงพระดำเนินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์ทอดพระเนตรเห็นซีโมนกับอันดรูว์น้องชายกำลังทอดแห เขาเป็นชาวประมง พระเยซูเจ้าตรัสสั่งว่า “จงตามเรามาเถิด เราจะทำให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์” ซีโมนกับอันดรูว์ก็ทิ้งแหไว้ แล้วตามพระองค์ไปทันที เมื่อทรงพระดำเนินไปอีกเล็กน้อย พระองค์ทอดพระเนตรเห็นยากอบบุตรของเศเบดี และยอห์นน้องชายกำลังซ่อมแหอยู่ในเรือ พระองค์ทรงเรียกเขาทั้งสองคนก็ละทิ้งเศเบดีบิดาของตนไว้ในเรือกับลูกจ้าง แล้วตามพระองค์ไปทันที”
ซีโมนกับอันดรูว์น้องชาย ยากอบบุตรของเศเบดี และยอห์นน้องชาย ชายสี่คนแรกที่พระเยซูเจ้าทรงเรียก “จงตามเรามาเถิด” สิ่งที่น่าสนใจ คือ เมื่อทรงเรียกซีโมนกับอันดรูว์ ทั้งสองคน “ทิ้งแหไว้” เมื่อทรงเรียกยากอบกับยอห์นน้องชาย ทั้งสองคน “ละทิ้งเศเบดีบิดาของตนไว้ในเรือกับลูกจ้าง” และทั้งสี่คนนั้น “ตามพระองค์ไปทันที”
พี่น้องที่รัก พระเจ้าต้องการผู้ร่วมงานกับพระองค์ จึงทรงเรียกให้ติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิด เมื่อทรงเรียกแล้วไม่ทรงต้องการเพียงการตอบรับ แต่ต้องการให้ “ละทิ้งและตามพระองค์ไปทันที” นี่คือท่าทีของผู้ที่ประสงค์จะติดตามพระองค์ การติดตามพระไม่ได้เป็นเรื่องเฉพาะของพระสงฆ์ นักบวชชาย-หญิงเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของเราทุกคน ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น “คริสตชน” พระองค์ไม่ได้ต้องการให้เราละทิ้งทุกสิ่งแบบคนที่ไร้ความรัก ไร้ความเมตตา หรือไร้ซึ่งความกตัญญูต่อผู้ที่รักและใจดีกับเรา แต่ทรงต้องการให้เราละทิ้งตัวตนที่เรายึดมั่นไว้แน่น ตัวตนที่เราทำให้เราไม่สามารถให้ความรักแก่ผู้คนรอบข้างได้ นี่แหละคือสิ่งที่พระเจ้าขอจากเรา เราให้ได้ไหม?
พี่น้องครับ พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของ…. - ตั้งแต่คนยิ่งใหญ่ที่สุด จนถึงคนต่ำต้อยที่สุด ….ผู้ที่เชื่อ กลับใจ จงอดอาหาร สวมเสื้อผ้ากระสอบ แสดงตนต่อพระพักตร์พระเจ้าถึงหัวใจที่เปลี่ยนใหม่ หันหา พึ่งพาพระ ละทิ้งตัวตนของตนเอง ละทิ้งสิ่งที่นำพาเราไปสู่ความผิดหลง สิ่งที่นำเราให้หลงวนอยู่ในความผิดบาป กลับมาเดินกับพระองค์ ให้พระองค์จูงมือเราเดินไปเถิด
- ผู้ที่เรียกตัวเองว่า “คริสตชน” คนของพระคริสต์ ที่ติดตามพระองค์ไปในทันที ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเรียกของพระ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเตือนของพระองค์ อย่าปิดตา ปิดหู ปิดประตูหัวใจ จงเปิดประตูหัวใจของเราออกให้กว้าง วิ่งออกไปหาพระองค์ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องเรียกเถิด
พี่น้องที่รัก พ่อขอย้ำกับพี่น้องในสาระสำคัญยิ่งอีกครั้งจากพระวาจาของพระเจ้าในบทอ่านและพระวรสารทั้ง 3 บทในวันนี้ ว่า… - จงดำเนินชีวิต เช่นเดียวกับชาวนีนะเวห์ เมื่อได้ยินการตักเตือนจากประกาศกโยนาห์แล้ว เชื่อฟังพระเจ้า หันเปลี่ยนชีวิตของตนเอง อดอาหาร สวมเสื้อผ้ากระสอบ
- จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด
- เพราะเวลานั้นสั้นนัก …โลกที่เป็นอยู่ สักวันจะผ่านไป…