“เงินตะลันต์…พระพรของพระที่มีจุดต่าง”
“วันขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเหมือนขโมยที่มาตอนกลางคืน…พี่น้องทั้งหลายอย่าดำรงชีวิตในความมืดเพราะวันนั้นจะมาถึงโดยไม่รู้ตัวเหมือนขโมย” (1 ธส5:2,4)
สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์รองสุดท้ายก่อนจบปีในการนับปีทางด้านพิธีกรรม ยามที่เวลาในเรื่องใดๆใกล้หมดเรามักพบกับความรู้สึกต้องรีบเร่งทำแต้มทำคะแนนให้ได้มากที่สุด พยายามทำให้เต็มที่มากเท่าที่สามารถเนื่องจากเวลากำลังจะหมดหมดทางให้เราแก้ตัวใดใดได้อีก หรือไม่เราก็จะพบกับความรู้สึกเสียใจเสียดายเหมือนอยากจะขอเวลาปรับปรุง…
แต่ก็ได้เพียงเท่านั้น เมื่อเวลาดุจดังสายน้ำไหลไปไม่หวนคืนกลับ ก่อนปิดฉากปีนี้ลงไม่ว่าจะเป็นจบปีตามสมัยนิยมใช้สอยหรือจะเป็นจบปีพิธีกรรมในสัปดาห์หน้า เราแต่ละคนจะรู้สึกเช่นไร สุขใจเมื่อเวลาผ่านไปเนื่องจากเราได้รับผิดชอบดูแลพระพรชีวิตพระที่ได้รับไว้ในตัวเรา หรือกังวลใจทุกข์ใจด้วยเราเองไม่ได้ทำหน้าที่คริสตชนที่ดีนัก.
“อาณาจักรสวรรค์ยังจะเปรียบได้กับบุรุษผู้หนึ่งกำลังจะเดินทางไกลเรียกผู้รับใช้มามอบทรัพย์สินให้ให้คนที่หนึ่งห้าตะลันต์ให้คนที่สองสองตะลันต์ให้คนที่สามหนึ่งตะลันต์ตามความสามารถของแต่ละคน” (มธ25:14)
“เงินตะลันต์ของพระเจ้า” ก็คือ“พระพรของพระในชีวิตเรา” นั่นเองในพระวรสารพระเยซูเจ้าบอกเราชัดเจนว่าพระองค์มอบให้เราให้เราไม่ใช่เพราะว่าเราเก่งหรือด้อยดีหรือร้ายแต่พระองค์มอบให้เราตามที่ธรรมชาติของเราจะรับไว้ไหวสิ่งที่พระองค์เรียกร้องจากเราคือ…“จงอย่าปล่อยให้ลอยเคว้งสูญเปล่าตามวันและเวลาสายน้ำไหลแล้วจะไม่ย้อนกลับมานะ” พระองค์ทรงต้องการเพียงให้เราได้ใช้พระพรนั้นออกมาเพื่อผู้อื่น.
สามวันที่แล้วมีข่าวที่ออกรายการโทรทัศน์ติดกัน จากข่าวหนึ่งไปข่าวสอง…แต่ให้ความรู้สึกที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ข่าว“แพแตก! ปู่แบกหลานขึ้นเหนือน้ำรอด ตัวเองจมดับต่อหน้าต่อตาหลาน” และข่าว“คนเมาเหล้าตกน้ำและจมน้ำตาย” คนหนึ่งคิดถึงความสุขความต้องการของตนเองดื่มจมกับการรักแต่ตนเอง และนำพาตนเองไปสู่ความตาย กับอีกคนหนึ่งไม่ว่าพลาดหรือผิดแต่เพียงเพื่อจะรักษาชีวิตของบุคคลที่ตนเองรักและจะปกป้องจนถึงที่สุด จึงยอมเสียสละนำตัวเองจมลึกไปในความมืดดับความตายแทนหลานอันเป็นที่รัก
“ใครจะพบภรรยาที่มีคุณธรรมได้เธอประเสริฐกว่าไข่มุกยิ่งนักจิตใจของสามีก็วางใจเธอเขาจะไม่ขาดกำไรเธอทำให้เขามีความสุขไม่ก่อความทุกข์ให้เขาเลยตลอดชีวิตของเธอ…ความสวยงามก็ไม่จีรังยั่งยืนแต่สตรีที่ยำเกรงพระเจ้าสมควรได้รับคำสรรเสริญ” (สภษ31:10-12,30)
นี่แหละคือ“หัวใจ” นี่แหละคือ“จุดต่าง” ระหว่างคำว่า“ฮีโร่: พระเอก-นางเอก-ตัวเอก” กับคำว่า“ไม่มีตัวตน-ไร้ความหมาย” จุดต่างอยู่กันเพียง“คุณธรรม-ความรักเมตตา-ความดีงามในหัวใจ” เมื่อเขาทำเช่นนี้ย่อมเท่ากับยำเกรงพระเจ้า และสมควรแล้วที่จะได้รับคำสรรเสริญ.
แล้วตัวเราล่ะ??? ปรารถนาจะเป็นฮีโร่เป็นพระเอก-นางเอกเป็นคนดีในใจใครบ้างไหม?
พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์เป็นอุปมาว่า“อาณาจักรสวรรค์ยังจะเปรียบได้กับบุรุษผู้หนึ่งกำลังจะเดินทางไกลเรียกผู้รับใช้มามอบทรัพย์สินให้……..”