เทศกาลเตรียมรับเสด็จ : เทศกาลที่คอยเตือนสติเราว่าเรากำลังเดินผิดทิศผิดทาง
เทศกาลเตรียมรับเสด็จเตือนให้เรารำลึกถึง การเสด็จมาของพระเยซูเจ้า
การเสด็จมาของพระเยซูเจ้ามี 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 เป็นการเสด็จมาในประวัติศาสตร์ และเป็นประวัติศาสตร์ที่ได้เกิดขึ้นและผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อ 2 พันกว่าปีก่อน ส่วนการเสด็จมาครั้งที่ 2 ยังเป็นอนาคต
ขอย้ำถึงการเสด็จมาครั้งที่ 1 ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นและผ่านพ้นไปแล้ว การเสด็จมาครั้งที่ 1 นี้ได้กลายเป็นอดีต และผ่านพ้นไปได้กว่า 2 พันกว่าปีแล้ว แต่คนยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะคริสตชน ยังดำเนินอยู่ในความหลง มีความรู้สึกนึกคิด ประหนึ่งว่า พระองค์กำลังจะบังเกิดอีกครั้งหนึ่ง แบบสดๆ ร้อนๆ ทุกปี ทุกปี เป็นต้น ในคืนวันที่ 24 ธันวาคม ต่อเนื่องกับวันที่ 25 ธันวาคม คริสตชนหลายคน เวลาใกล้เที่ยงคืนหัวใจตื่นเต้นระทึกใจ เมื่อนาฬิกาหมุนใกล้ถึงเวลาเที่ยงคืน พระเยซูจะบังเกิดแล้ว! พระเยซูจะบังเกิดแล้ว!พอเที่ยงคืนก็ตื่นเต้นยินดี ร้องตะโกนว่าพระทรงบังเกิดแล้ว
เป็นความหลงแบบโง่ๆ เพราะทุกอย่างได้เกิดขึ้น และจบไปแล้ว
นอกจากนั้น ไม่มีพระวรสารตอนใดเลยที่บอกว่า พระเยซูเจ้าบังเกิดตอนเที่ยงคืน พระวรสารบันทึกไว้เพียงสั้นๆว่า “ขณะที่อยู่ที่นั่น ก็ถึงกำหนดเวลาที่พระนางมารีย์จะมีพระประสูติกาล” (ลูกา 2:6) และเวลาที่ถูกระบุก็เพียงแค่ เป็นเวลากลางคืน ไม่ได้บอกว่าเที่ยงคืน ดังนั้นมิสซาคริสตมาสที่กำหนดว่า ต้องเป็นเที่ยงคืน จึงเป็นสิ่งที่จะต้องได้รับการทบทวน ไม่ใช่มัวติดแน่นอยู่กับความหลงผิดอยู่ตลอดเวลา
นอกนั้นวันที่ 25 ธันวาคม ก็เป็นวันที่ ที่มนุษย์เป็นผู้กำหนดพระเป็นเจ้าไม่รู้เรื่อง
แก่นสาระของการบังเกิดของพระเยซูเจ้ามีเพียงแค่ พระองค์เสด็จมารับเอาเนื้อหนังบังเกิดเป็นมนุษย์ แก่นสาระมีเพียงเท่านั้น
สิ่งต่อมาที่ควรคิดคำนึงต่อไปก็คือ พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างไร? จุดนี้ต้องได้รับความสนใจเป็นพิเศษ
พระองค์ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์อย่างไร?
เป็นทารกน้อยเกิดในถ้ำเลี้ยงสัตว์อย่างยากจน ท่ามกลางฝูงสัตว์ และกลิ่นอับเหม็นต่างๆ ที่วางพระกาย คือ รางหญ้า และมีผ้าเพียงหนึ่งผืนพันกายไว้
ถ้ำเลี้ยงสัตว์อยู่ ห่างไกลจากเมือง ห่างไกลจากความเจริญ ห่างไกลจากแสงสี ห่างไกลจากความอึกทึกครึกโครม ห่างไกลจากฝูงชนที่พลุกพล่าน บรรยากาศบริเวณรอบๆสถานที่บังเกิดเงียบสงบ มีเพียงแค่แสงรำไรของตะเกียงน้ำมัน และแสงดาวระยิบระยับในท้องฟ้า
ที่บรรยายมาข้างบนน่าจะเป็น บรรยากาศแท้ๆของบรรยากาศ และสถานที่บังเกิดของพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าต้องการบังเกิดอย่างเงียบๆ สงบ และอย่างต่ำต้อย แต่จะมีกี่คนที่จะสามารถจับความรู้สึกนึกคิด และความต้องการของพระองค์ได้
มีสักกี่คนที่จะรู้ว่า การบังเกิดของพระเยซูเจ้าสอนอะไรแก่เรา
คนยุคปัจจุบันทำลายแก่นสาระของการบังเกิดจนแทบไม่มีอะไรเหลือ มิหนำซ้ำ อิทธิพลของการต้องเฉลิมฉลองคริสตมาสอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ยังถูกส่งต่อไปยังเยาวชน รุ่นลูกรุ่นหลานของเรา จนพวกเขาติดอยู่กับความอลังการเหล่านั้น จนขาดไม่ได้
เยาวชนบางคนถึงกับเศร้าโศกเสียใจที่ไม่ได้จัดงานคริสตมาสอย่างหรูหราใหญ่โต
ความผิดบกพร่องอยู่กับใคร? และใครต้องรับผิดชอบ? ถ้าไม่ใช่เป็นพวกผู้ใหญ่
การจัดฉลองคริสตมาสแต่ละปี เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง แข่งขันกันว่าใครจะยิ่งใหญ่อลังการกว่าใคร แต่ละคนต่างลืมแก่นสาระของการบังเกิดโดยสิ้นเชิง
ในเมื่อการเตรียมการรำลึกถึงการบังเกิดของพระเยซูเจ้าครั้งที่ 1 ผิดเพี้ยนไปขนาดนี้ส่งผลให้ เทศกาลเตรียมรับเสด็จแทนที่จะเป็นการรำลึกถึงการบังเกิด (1)ด้วยหัวใจที่ขอบพระคุณพระเป็นเจ้าสำหรับพระเมตตาของพระองค์ และ(2)แทนที่จะเป็นช่วงเวลาเราที่เราจะเจาะลึกให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของการบังเกิด และ(3)แทนที่จะเป็นการเรียนรู้และตั้งใจจะลอกเลียนแบบ ความสุภาพถ่อมตน ความเรียบง่าย ของพระเยซูเจ้าในการบังเกิด และ การดำเนินชีวิต และ(4)แทนที่จะเป็นการมุ่งประยุกต์สิ่งเหล่านั้นเพื่อนำมาเลียนแบบเพื่อดำเนินชีวิตตาม ในการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่กลับกลายเป็นการทำลายทุกอย่างที่พระเยซูเจ้าได้มอบไว้ให้ มิหนำซ้ำวิถีคริสตชนในเรื่องของการรำลึกถึงการเตรียมรับเสด็จ รวมทั้งกิจกรรมรำลึกถึงการบังเกิด นอกจากจะเพี้ยนในหมู่คริสตชนกันเองแล้ว เรายังสร้างให้เกิดความเพี้ยน และ ความเข้าใจผิดในหมู่คนที่มิใช่คริสตชน ดังที่เราเห็นๆกันอยู่ทุกๆปี ตั้งแต่นานมาแล้วจนถึงทุกวันนี้