โหราจารย์คนที่ 4
มัทธิวบทที่ 2 ข้อ 1-12 เล่าเรื่องราวของโหราจารย์ 3 คนที่เดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนของตนเพื่อไปเฝ้าพระกุมาร นั่นคือเรื่องจากพระคัมภีร์ที่เราคุ้นเคย
เฮนรี่ แวน ได๊ค์ (Henry van Dyke) นักเขียนชาวอเมริกัน ได้เขียนนวนิยาย ชื่อ “โหราจารย์อีกคนหนึ่ง” (The Other Wise Man) หรือ “โหราจารย์คนที่ 4” ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1895 หรือ พ.ศ. 2438 และได้รับการตีพิมพ์ต่อๆมาอีกหลายครั้ง และที่สุดได้รับการตีพิมพ์อีกครั้งหนึ่ง โดย บริษัทหนังสือ บาลันทีน (Ballantyne Books) โอกาสครบรอบ 101 ปี ของนวนิยายเรื่องนี้ในปี 1996 หรือ พ.ศ. 2539
โหราจารย์คนที่ 4 นี้ ชื่อ อาร์ตาบัน (Artaban) เป็นชาวมีดีส จากประเทศเปอร์เซีย ท่านได้รับเครื่องหมายจากท้องฟ้า เช่นเดียวกับโหราจารย์ทั้ง 3 ท่านท่านจึงเก็บข้าวของสัมภาระพร้อมกับของขวัญ ซึ่งจะนำไปถวายแด่พระเยซูกุมาร ของขวัญประกอบด้วยของ 3 อย่างคือ 1) นิลสีน้ำเงิน 2)พลอยสีแดง และ 3) ไข่มุกราคาแพงและหายาก ท่านเริ่มต้นออกเดินทาง แต่ในระหว่างทางท่านต้องหยุดการเดินทางเป็นระยะๆ ครั้งแรกเพื่อช่วยชายที่กำลังจะตาย จากนั้นจัดการศพให้ชายผู้นี้จนเรียบร้อย เสร็จงานศพท่านก็ออกเดินทางต่อไปเพื่อไปรวมกลุ่มกับโหราจารย์อีก 3 คน แต่สุดท้ายท่านก็คลาดกับกองคาราวาน ของโหราจารย์ ทั้ง 3 นั้น ท่านจึงตัดสินใจเดินทางต่อไปด้วยตนเอง
แต่เนื่องจากการเดินทางครั้งแรกท่านเดินทางมาด้วยม้า โดยกะจะไปสมทบกับกองคาราวานของอีก 3 ท่าน ที่เดินทางด้วยอูฐ แต่เมื่อคลาดกัน ท่านก็ไม่สามารถเดินทางข้ามทะเลทรายด้วยม้าได้อีกต่อไป ท่านจึงต้องเปลี่ยนพาหนะ โดยท่านต้องขายของขวัญชิ้นที่ 1 เพื่อนำเงินมาซื้ออูฐ และของใช้จำเป็นอื่นๆ เพื่อการเดินทางข้ามทะเลทราย
ท่านอาร์ตาบัน เริ่มเดินทางต่อพร้อมกับกองคาราวานของตนเอง และท่านก็มาถึงเบธเลแฮม แต่ก็สายไปเป็นครั้งที่ 2 เนื่องจากท่านโยเซฟ ได้พาครอบครัวศักดิ์สิทธิ์หนีไปอียิปต์เสียแล้ว
ที่เบธเลแฮมนี้เอง ท่านต้องช่วยชีวิตของเด็กอีกคนหนึ่ง ซึ่งทำให้ท่านจำต้องขายของขวัญชิ้นที่ 2 เพื่อช่วยเด็กคนนั้น เมื่อเสร็จภาระกิจการช่วยเหลือ ท่านก็เริ่มเดินทางต่อไปยังประเทศอียิปต์ เพื่อติดตามครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ แต่ท่านก็ไม่พบครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ที่อียิปต์ ท่านจึงได้เดินทางติดตามครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ไปยังประเทศใกล้เคียงที่ติดกับอียิปต์ คาดว่าจะพบพวกเขาที่นั่นแต่ก็ไม่พบ ทั้งที่อียิปต์ และประเทศใกล้เคียง ท่านได้ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากที่ท่านพบระหว่างทางทุกๆคนเวลาเดียวกัน ท่านก็ใช้เวลาสืบเสาะติดตามหาพระเยซูเจ้า ไปพร้อมๆกัน ท่านใช้เวลาถึง 30 ปี จนที่สุดท่านก็เดินทางมาถึงนครเยรูซาเลม แต่เป็นช่วงเวลาที่พระเยซูเจ้ากำลังใกล้จะถูกจับและตัดสินประหารชีวิต ท่านได้ทราบข่าวว่าพระเยซูเจ้าขณะนั้นกำลังอยู่ที่นครเยรูซาเล็ม ท่านดีใจมากที่จะได้พบพระองค์ แต่ก่อนจะได้พบพระเยซูเจ้า ก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งเข้ามาขวางคือ ท่านได้พบกับเด็กหญิงผู้หนึ่งที่กำลังจะถูกขายเป็นทาส ด้วยความสงสาร ท่านยอมทำทุกอย่างเพื่อหาทางช่วยเด็กผู้หญิงคนนั้น ท่านต้องนำเอาของขวัญชิ้นสุดท้ายที่มีอยู่ออกขาย เพื่อนำเงินไปช่วยเด็กหญิง ของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ต้องขายออกไปคือ ไข่มุกเม็ดงามที่มีราคาสูงมาก เมื่อเสร็จสิ้นการช่วยเด็กหญิงแล้ว อาร์ตาบันรีบเดินทางไปยังพระวิหารเยรูซาแล็ม เพื่อเสาะหาพระเยซูเจ้าต่อไป โดยคาดว่าจะพบพระองค์ที่นั้น แต่เหตุการณ์ ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีก คือ ที่พระวิหารนั่นเอง ขณะที่ท่านกำลังยืนอยู่บริเวณพระวิหาร กระเบื้องมุงหลังคา พระวิหารแผ่นหนึ่งหล่นลงมากระแทกศีรษะของท่านอย่างแรง ท่านล้มลง เลือดไหลทะลักจากศีรษะ ท่านหายใจรวยริน และขณะที่ท่านกำลังจะหมดลมหายใจ ท่านได้ยินเสียงกระซิบแผ่วๆที่หูว่า “…..เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุด ของเราคนใดคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มัทธิว 25:40)
เสียงกระซิบนั้นเป็นเสียงของพระเยซูเจ้าเองท่านค่อยๆสิ้นลมอย่างช้าๆ ด้วยความรู้สึกที่สงบ และเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกยินดีภายในจิตวิญญาณ ท่านได้ถวายของขวัญทุกชิ้นที่เตรียมมาให้แก่พระเยซูเจ้า และพระองค์ก็ได้รับของขวัญทั้ง 3 ชิ้นนั้น เป็นที่เรียบร้อยแล้ว