ความสุภาพถ่อมตน: บทเรียนจากพิธีล้าง
“ท่านเป็นบุตรที่รักของเราเป็นที่โปรดปรานของเรา” นั่นเป็นคำสรรเสริญพระเยซูคริสตเจ้าที่บันทึกไว้โดยพระวรสารของนักบุญมาระโกในวันนี้
พระองค์ คือพระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นบุตรที่รักของพระบิดา นอกนั้นพระองค์ยังทรงเป็นที่โปรดปรานของพระบิดา
ทำไมพระองค์จึงเป็นที่รัก และเป็นที่โปรดปราน เหตุผลมีเพียงประการเดียวคือ พระเยซูคริสตเจ้าทรงสุภาพถ่อมตน โดยทรงยอมต่อพระประสงค์ของพระบิดาในทุกสิ่งที่พระบิดาต้องการ อันทำให้แผนการของการไถ่กู้ของพระบิดาดำเนินไปได้อย่างไม่ติดขัด หรือจะใช้อีกคำพูดหนึ่ง ก็คือ พระองค์มีความนบนอบเชื่อฟังต่อพระบิดา
พระเยซูคริสตเจ้าทรงยอมต่อพระบิดาในเรื่องใดบ้าง? ประการแรกสุด ทรงยอมสละศักดิ์ศรีของความเป็นพระเจ้า เพื่อมาบังเกิดเป็นมนุษย์
“แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้น เป็นสมบัติที่ต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์” (ฟิลิปปี 2:6-7)
พระเยซูเจ้าได้ยอมสละความเป็นพระเจ้ายังไม่พอ แต่ยังทรงยอม “แสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์” นั่นคือ แสดงพระองค์ เสมือนหนึ่งเป็นคนบาป เพราะธรรมชาติมนุษย์ คือ ธรรมชาติของคนบาป แม้พระองค์ทรงไม่มีบาป แต่ก็ยังยอมถ่อมพระองค์แสดงตนเป็นคนบาป โดยเข้ามาขอรับพิธีล้างจากท่านยอห์น
การเข้ามาขอรับพิธีล้างของพระเยซูเจ้า เป็นการประกาศตนเองต่อหน้าทุกๆคนว่า พระองค์คือคนบาป ดังนั้นงานที่พระองค์จะทรงทำต่อไปนี้ อันได้แก่ การยอมตายบนไม้กางเขนเป็นงานของคนบาปที่ยอมรับโทษชดเชยสิ่งที่มนุษยชาติได้กระทำผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
พระเยซูคริสตเจ้าทรงรับแบกบาปของมวลมนุษย์ พระองค์ทรงยอมทำตัวของพระองค์ เป็นประดุจแพะรับบาป ทั้งๆที่พระองค์ไม่ได้กระทำความผิดอะไรเลย
ดังนั้นพระเยซูเจ้าจึงทรงเป็น ผู้รับใช้ที่พระเป็นเจ้าทรงเชิดชู ดังที่อิสยาห์ได้กล่าวไว้ในบทอ่านที่ 1
พระเยซูคริสตเจ้าแม้ไม่มีความผิดแต่พระองค์ทรงยอมรับ ประหนึ่งเป็นผู้มีความผิด
นี่เป็นบทเรียนสำคัญที่มนุษย์ทุกคนจะต้องเรียนรู้จากพระองค์ ไม่ใช่แค่เรียนรู้แต่ต้องนำไปปฏิบัติตาม
เราทุกคนเป็นคนบาป แต่ทำไมเราจึงไม่ยอมรับ ความจริงประการนี้ และตราบใดที่เรายังไม่ยอมรับความบาป ความผิดของเรา การไถ่กู้ก็จะไม่เกิดขึ้น
ปีศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกร้องให้มีการกลับใจเปลี่ยนแปลงฟื้นฟูชีวิต สิ่งแรกสุดที่จะต้องกระทำก็คือ การจะต้องรู้จักจุดอ่อน จุดโห่ว ของชีวิตของเรา หรือรู้จักความบาป ความอ่อนแอของตัวเอง และจะต้องยอมรับ จุดอ่อนและจุดโหว่ของชีวิต รวมทั้งยอมรับความบาปและความอ่อนแอเหล่านั้น จากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการแก้ไขเปลี่ยนแปลง แต่ตราบใดที่เรายังไม่รู้จักตัวเอง ยังไม่เรียนรู้จุดอ่อน และจุดโหว่ของตัวเรา เราก็จะไม่รู้ว่าเราจะต้องแก้ไข เปลี่ยนแปลงอะไร และอย่างไรชีวิตของเราก็ยังคงเหมือนเดิมคือ ย่ำอยู่กับที่ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
การยอมรับสภาพความเป็นคนบาปของเรา คือจุดเริ่มต้นที่จะทำให้พระจิตเจ้าสามารถทำงานได้ เพราะพระองค์จะสามารถแนะนำเราได้ว่า เราจะต้องเดินต่อไปอย่างไร จะแก้จุดอ่อนตรงนั้นอย่างไร อุดจุดโหว่ตรงนี้อย่างไร โดยที่เราจะต้องพร้อมที่จะร่วมมือกับพระองค์โดยการปฏิบัติตามการดลใจของพระจิตเจ้านั้น
สรุปก็คือ ความรอดนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็โดยความร่วมมือของทั้ง 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายพระเป็นเจ้า และฝ่ายมนุษย์
พระจิตเจ้าที่ประทับอยู่เหนือพระเยซูเจ้า ค่อยๆพาพระองค์ให้เดินไปที่ละก้าวๆ จนบรรลุถึงการยอมตายบนไม้กางเขน และทำให้งานไถ่กู้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายของพระบิดา