ปั้นดินให้เป็นดาว
ขอนำคำกล่าวของโยบจากบทอ่านที่ 1 ของบทมิสซาวันนี้มาลงซ้ำไว้ตรงนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นการเกริ่นนำสิ่งที่จะคุยสนทนากันในวันนี้ โยบได้กล่าวไว้ว่า
“ชีวิตมนุษย์บนแผ่นดินเป็นการถูกเกณฑ์ทหาร ชีวิตของเขาเป็นเหมือนชีวิตของลูกจ้าง ทาสโหยหาเวลาเย็น ลูกจ้างรอคอยค่าจ้างฉันใด แต่ละเดือนในชีวิตของข้าพเจ้าก็ผ่านไปโดยไร้ความหมาย แต่ละคืนก็มีแต่ความทุกข์ฉันนั้น เมื่อนอนลง ข้าพเจ้าก็พูดว่า ‘ข้าพเจ้าจะลุกขึ้นเมื่อไร’ แต่กลางคืนก็ยาว และข้าพเจ้าก็พลิกตัวไปมาจนรุ่งเช้า วันของข้าพเจ้าวิ่งเร็วกว่ากระสวยของช่างทอ และจบลงโดยไร้ความหวัง ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงระลึกว่าชีวิตของข้าพเจ้าเป็นเหมือนลมวูบเดียว ตาของข้าพเจ้าจะไม่เห็นอะไรดีอีกเลย” นั่นคือ โยบ บทที่ 7 ข้อ 1-4 และ 6-7 เป็นการบรรยายความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ที่มองโลกในมุมแคบๆ ซึ่งมนุษย์ที่คิดแบบโยบในโลกของเรา ยังมีอีกจำนวนไม่น้อย
แต่คำที่แย่ที่สุดของโยบก็คือ “ชีวิตที่จบลงโดยไร้ความหวัง”
แม้จะรู้จักพระเจ้าแต่ การรู้จักพระเจ้าของโยบ ก็ไม่ได้ช่วยโยบให้เข้าใจชีวิตได้อย่างลึกซึ้งและถูกต้องในเบื้องต้น มิหนำซ้ำโยบยังพาลพาโลกล่าวหาพระเจ้าต่างๆนาๆ โยบโกรธพระเจ้าในความทุกข์ยากที่ตนได้รับ
พวกเราก็ทำตัวเหมือนโยบในบางครั้งหรือหลายๆครั้ง ไม่ใช่หรือ?
ความทุกข์ลำเค็ญเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และยังเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้
อีก 10 วันข้างหน้า เราก็จะเริ่มต้นเข้าสู่เทศกาลมหาพรต และในวันพุธรับเถ้า เราแต่ละคนจะได้รับคำเตือนสติจากพระวาจาของพระเจ้าว่า “พวกเราคือดิน” “พวกเรามาจากดิน และจะกลับเป็นดิน”
พระเจ้าทรงจงใจ สร้างมนุษย์ให้เกิดจากดิน และชีวิตที่เป็นดินนี่แหละ คือจุดเริ่มต้นของความทุกข์ยากต่างๆ ในทางพุทธศาสนาก็สอนเกี่ยวกับความจริงข้อนี้ของชีวิตไว้ ในคำสอนของพุทธศาสนาที่พูดถึงอนิจจัง…. “ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง”….สภาวะของอนิจจังเป็นผลมาจากชีวิตทุกชีวิตเกิดมาจากดินนั่นเอง
อะไรก็ตามที่เกิดจากดิน จะเป็นสิ่งที่ไม่อยู่คงที่ แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ตาย
แต่ภายใต้สภาวะดังกล่าว พระเป็นเจ้าก็มีแผนการที่ลึกล้ำกว่านั้น พระประสงค์ของพระเป็นเจ้า หรือ เป้าหมายของพระเป็นเจ้า ก็คือ พระองค์ต้องการปั้นดินนี้ให้เป็นดาว
การเทศน์สอนของพระเยซูเจ้า มุ่งประเด็นที่จะบอกความจริงกับเราว่า พระองค์มีแผนการที่จะให้ ดินนี้เป็นดาว
แต่เพื่อจะก้าวไปสู่ความเป็นดาว ดินนั้นจะต้องยอมรับสภาพของความเป็นดินในเบื้องต้น
แต่ดินชุดแรก คือ พ่อแม่เดิมของเรา (อาดัมและเอวา) ไม่ยอมรับ (ไม่เชื่อฟัง) ความเป็นดินนั้น
และนิสัยของการไม่ยอมรับ (ไม่เชื่อฟัง) ก็ยังได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาจนถึงมนุษย์ยุคปัจจุบัน
ถ้าเราจะสังเกตคำสอนของพระเยซูเจ้าพระองค์จะชอบสอนเรื่อง การเป็นผู้รับใช้ การเป็นคนใช้ อันเป็นคำสอนที่มุ่งสอนให้เรายอมรับสภาพความเป็นดิน เพราะดินนั้นอยู่ใต้เท้า และสภาวะของการอยู่ใต้เท้าก็คือสภาวะของการรับใช้….ดินรองรับเท้าของผู้อื่น….
คำสอนเรื่องการรับใช้ หรือ การเป็นผู้รับใช้ปรากฏอยู่ทั่วไปหมดในพระวรสารทั้ง 4 เช่นในมัทธิว 8:5-13, มัทธิว 23:11, มัทธิว 20:27-28, มาระโก 10:45, ลูกา 17:7-10, ยอห์น 12:26, และในบทจดหมายเช่น เอเฟซัส 6:1-9 ฯลฯ
ผ่านทางการยอมรับสภาพของความเป็นดิน เป็นคนใช้ เป็นลูกจ้าง หรือ เป็นทาสนี่แหละ เราจะก้าวเข้าไปสู่ความเป็นดาว
ส่วนความเป็นดาวของเรา นักบุญเปาโล ได้กล่าวไว้ในจดหมายของท่านฉบับที่ 1 ข้อ 3-5 ดังนี้
“ขอถวายพระพรแด่พระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์ทรงอวยพรแก่เราโดยประทานพระพรนานาประการของพระจิตเจ้า พระเจ้าทรงเลือกสรรเราในพระคริสตเจ้าแล้ว ตั้งแต่ก่อนการเนรมิตสร้างโลก เพื่อให้เราศักดิ์สิทธิ์และปราศจากมลทินเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ด้วยความรัก พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วที่จะให้เราเป็นบุตรบุญธรรม เดชะพระเยซูคริสตเจ้า ตามพระประสงค์ที่พอพระทัย” ดังนั้น ความเป็นดาวของเราก็คือ การเป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า
อีกอันหนึ่งที่จะต้องยกมาอ้างก็คือ จากหนังสือปรีชาญาณบทที่ 3 ข้อ 23 โดยแท้จริงแล้ว พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นอมตะ….”
แต่ความเป็นอมตะหรือความไม่ตายนี้จะเกิดขึ้นก็โดยการยอมรับสภาพของความตาย หรือ การยอมรับสภาพของความเป็นดินนั่นเอง