ตายทั้งเป็น
ในสมัยโบราณโรคเรื้อนเป็นโรคที่น่ากลัวที่สุด อี.ดับบลิว.จี มาสเตอร์แมน เขียนไว้ว่า “ไม่มีโรคอื่นที่ทำให้มนุษย์ดูน่าเกลียดเท่าโรคนี้”
โรคเรื้อนเริ่มด้วยเป็นไตแข็งๆ เล็กๆ ซึ่งต่อมาก็เป็นหนอง น้ำหนองไหล ขนคิ้วร่วง ตาจ้องเฉย เอ็นในลำคอเป็นหนอง เสียงแหบ เวลาหายใจมีเสียง มือและเท้าเป็นหนองอยู่เสมอ หนองพุพองลามไปช้าๆ ระยะเวลาเฉลี่ยของโรคเรื้อนชนิดนี้กินเวลา 9 ปี จบลงด้วยหัวสมองเสีย ในที่สุดก็ถึงแก่ความตาย
โรคเรื้อนอาจจะเริ่มต้นด้วยร่างกายบางส่วนขาดความรู้สึก เป็นเพราะโรคเกิดกับประสาท กล้ามเนื้อเสียไป เอ็นหดตัวจนมือหงิกงอ แล้วตามมือและเท้าก็เป็นแผลมีหนอง จนกระทั่งไม่มีนิ้วมือนิ้วเท้า ผลที่สุดมือและเท้าหลุดออก โรคเรื้อนชนิดนี้อยู่ได้ยี่สิบถึงสามสิบปี โรคนี้น่ากลัว คนเป็นโรคนี้อาจตายเมื่อไรก็ได้
สภาพร่างกายของคนโรคเรื้อนน่ากลัวมาก แต่ก็มีบางสิ่งที่ทำให้โรคร้ายหนักขึ้น โยสิพัสบอกเราว่า คนทั้งหลายถือว่าคนโรคเรื้อนเป็นเหมือนคนตาย ทันทีที่เขาวินิจฉัยว่าเป็นโรคเรื้อนก็จะขับไล่คนเป็นโรคเรื้อนออกจากสังคม “เขาจะเป็นมลทินอยู่ตลอดเวลาที่เขาเป็นโรค เขาเป็นมลทิน เขาจะต้องอยู่แต่ลำพังภายนอกค่าย” (เลวีนิติ 13.46) “คนโรคเรื้อนต้องสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดปิดริมฝีปากบน เมื่อเดินไปก็จะร้องไปด้วยว่า ไม่สะอาด ไม่สะอาด” (เลวีนิติ 13.45) ในสมัยกลาง ถ้าใครเป็นโรคเรื้อนนักบวชจะสวมเครื่องแบบถือกางเขน นำชายนั้นไปที่โบสถ์ทำพิธีผังศพให้ เพราะถือว่าคนนั้นเท่ากับตายแล้ว
ในประเทศปาเลสไตน์ในสมัยพระเยซู เขาให้คนโรคเรื้อนออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม และจากเมืองที่มีกำแพงล้อม ในศาลาธรรมเขาจะจัดห้องเล็กๆ ไว้ให้ต่างหาก ห้องนั้นสูง 10 ฟุต กว้าง 6 ฟุต เรียกว่า Mechitsal มีบทบัญญัติมากมายที่กล่าวถึงการสัมผัสกับสิ่งที่มีมลทิน 61 ประการ และก็รวมการสัมผัสกับคนโรคเรื้อนไว้ด้วยอยู่ในข้อที่ 2 ข้อที่ 1 เป็นสัมผัสคนตาย ถ้าคนโรคเรื้อนโผล่หน้าเข้าไปในบ้านใด บ้านนั้นก็จะเป็นมลทินไปจนกระทั่งจั่วบ้าน แม้แต่ในที่โล่งการต้อนรับคนโรคเรื้อนก็ผิดกฎหมาย ไม่มีใครเข้าใกล้คนโรคเรื้อนได้มากกว่า 6 ฟุต ถ้าคนโรคเรื้อนยืนอยู่เหนือลม ต้องยืนห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 34 ฟุต อาจารย์ชาวยิวจะไม่ยอมรับประทานไข่ที่ซื้อตามถนนที่คนโรคเรื้อนเดินผ่าน อาจารย์ชาวยิวอีกคนหนึ่งจะคุยอวดว่าเขาเองเอาก้อนหินขว้างคนโรคเรื้อนเพื่อให้อยู่ห่างๆ เขา ส่วนอาจารย์ชาวยิวอื่นๆ ซ่อนตัวให้พ้นหรือยกส้นเท้าให้ เมื่อเห็นคนโรคเรื้อน แม้ว่าจะอยู่แต่ไกลก็ตาม
ไม่มีโรคใดที่แยกคนออกจากันได้เท่าโรคเรื้อน คนเป็นโรคนี้แหละที่พระเยซูทรงแตะต้อง สำหรับชาวยิวไม่มีประโยคไหนในพันธสัญญาใหม่จะน่าแปลกใจเท่าถ้อยคำที่ง่ายๆ ว่า “แล้วพระเยซูทรงเหยียดพระหัตถ์ออกแตะต้องคนโรคเรื้อน”
ข้างบนเป็นบทความอธิบายถึงคนโรคเรื้อนในสมัยพระเยซูเจ้า ซึ่งคัดมาจากหนังสืออธิบายพระคัมภีร์ ฉบับโบราณเล่มหนึ่ง เห็นว่ามีประโยชน์จึงนำมาพิมพ์ประกอบกับบทสนทนาเจ้าอาวาสฉบับนี้
คนที่เป็นโรคเรื้อนถือเสมือนคนที่ตายไปแล้ว ต้องแยกตัวออกไป อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ และที่สำคัญเป็นโรคที่ติดต่อไปยังผู้อื่น
ในอดีตโรคเรื้อนถูกนำมาเปรียบเทียบกับบาป บาปเป็นเสมือนโรคเรื้อนทางจิตวิญญาณ ที่ทำให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่เปรียบเสมือนคนที่ตายไปแล้ว แต่ที่สำคัญ บาปสามารถติดต่อไปยังผู้อื่นได้ ถ้าไม่ระมัดระวังตัว
ผู้ที่อธิบายว่าบาป เปรียบเสมือนกับความตาย ก็คือ ท่านนักบุญยอห์น อัครสาวก ท่านเขียนอธิบายไว้ในจดหมายของท่านฉบับหนึ่ง ในคำเตือนที่ท่านเตือนคริสตชนให้สวดภาวนาเพื่อคนบาป ดู 1 ยอห์น 5: 14-17
“ความมั่นใจของเราต่อพระองค์มีอยู่ว่า ถ้าเราวอนขอสิ่งใดที่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์จะทรงฟังเรา และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังสิ่งที่เราวอนขอ เราย่อมรู้ว่า เรามีสิ่งที่เราวอนขอนั้นแล้ว ผู้ใดเห็นพี่น้องกระทำบาป ซึ่งไม่ใช่บาปที่ทำให้ตาย จงอธิษฐานเพื่อพี่น้องคนนั้น แล้วพระเจ้าจะประทานชีวิตแก่เขา แต่ต้องไม่ใช่บาปที่ทำให้ตาย มีบาปที่ทำให้ตาย และข้าพเจ้าไม่บอกให้ท่านอธิษฐานเพื่อบาปชนิดนี้ ความอธรรมทุกชนิดเป็นบาป แต่ไม่ใช่บาปทุกชนิดทำให้ตาย”
ยอห์นอธิบายว่า มีบาปที่ทำให้ตาย และมีบาปที่ไม่ทำให้ตาย และคำอธิบายถึงบาปที่ทำให้ตายอยู่ในคำอธิบายท้ายหน้าของหนังสือ “พระคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่” หน้า 790 ในข้อ G ดังนี้
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผู้รับจดหมายรู้ว่า “บาปที่ทำให้ตาย” นั้นหมายถึงอะไร อาจหมายถึงบาปผิดต่อพระจิตเจ้า หรือผิดต่อความจริง ดู มธ 13:31-32, 32 เชิงอรรถ h หรืออาจหมายถึงการทิ้งศาสนาของผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสตเจ้า 2:18-29,ฮบ 6:4-8”
บาปจะทำให้ตายหรือไม่ทำให้ตายก็ไม่ดีทั้งนั้น เพราะบาปที่แม้จะไม่ทำให้ตายแต่มันสามารถทำให้ผู้นั้นมีอาการหนักขึ้นๆเรื่อยๆ จนตายได้ในที่สุด
เพราะฉะนั้นไม่ว่า บาปเบา หรือ บาปหนัก ก็เป็นสิ่งไม่ดี เพราะบาปเบาถ้าไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงก็สามารถพัฒนาตัวของมันเอง ทำให้ผู้นั้นมีอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถทำให้ผู้นั้นทำบาปหนักได้ในที่สุด
แต่ก็ยังเป็นโชคดีของพวกเรา ที่พวกเรายังมีพระเยซูเจ้าเป็นผู้รักษา และเยียวยาให้เรา ทั้งให้หายจากโรค และให้ฟื้นคืนชีพมีชีวิตใหม่จากความตาย ถ้าบังเอิญเราต้องตาบไป