การฟื้นฟูชีวิตคริตชนและพันธกิจ
เข้าสู่สัปดาห์ที่ 4 ของเทศกาลมหาพรต และพระวรสารวันนี้ เป็นพระวรสารที่มีพระวาจาบางประโยคของพระเยซูเจ้า ที่สามารถเป็นแนวทางของการดำเนินชีวิตคริสตชน ทั้งที่เป็นฆราวาสธรรมดา รวมทั้งคริสตชนที่ถวายตัว ดำเนินชีวิตเป็นพระสงฆ์และนักบวช
นอกจากจะใช้พระวาจาดังกล่าวปรับการดำเนินชีวิตแล้ว ยังจะสามารถใช้พระวาจานั้นปรับการทำงานให้แก่พระเป็นเจ้าในเวลาเดียวกัน
นั่นคือพระวาจาประโยคดังกล่าว สามารถช่วยคริสตชนในการฟื้นฟูชีวิตและพันธกิจ อันเป็นเป้าหมายหลักของการเฉลิมฉลองปีศักดิ์สิทธิ์ ที่คริสตชนไทยกำลังมุ่งปฏิบัติให้สัมฤทธิ์ผลอยู่ในขณะนี้
พวกเราคงจะอยากทราบแล้วซิว่าพระวาจาประโยคที่อ้างถึงนั้นมีเนื้อหาอย่างไร พระวาจานั้นปรากฏอยู่ในตอนต้นของพระวรสาร ยอห์น บทที่ 3 ข้อ 14-21 ของวันอาทิตย์นี้ พระวาจาที่จะยกมาอ้างอิงก็คือ
“โมเสสได้ยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร…..”
ประโยคดังกล่าวพูดถึงการถูกตรึงกางเขนของพระเยซูเจ้าเพื่อไถ่บาปของโลก และตามที่เรารู้ การตายบนไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า คือ สิ่งที่ช่วยมนุษย์ให้ได้รับความรอดพ้น
แต่วันนี้อยากจะเชิญชวนพวกเราให้มองไม้กางเขน รวมทั้งภาพของพระเยซูเจ้าที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน มองไม่ใช่แค่ภาพภายนอก แต่มองให้ทะลุไปถึง จิตวิญญาณของไม้กางเขน หลายคนอาจจะเริ่มมึนงงและถามว่าไม้กางเขนมีจิตวิญญาณด้วยหรือ
ถูกต้อง ไม้กางเขนมีจิตวิญญาณ
ภาพของพระเยซูเจ้าที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนจะต้องบอกบางสิ่งบางอย่างที่ลึกซึ้งแก่เรา
การถูกตรึง คือการถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน ร่างของพระเยซูเจ้าลอยอยู่เหนือพื้นดิน มือและเท้าของพระองค์ถูกตอกตรึงด้วยตะปูไม่สามารถดิ้นไปดิ้นมา หรือขยับเขยื้อนไปไหนมาไหนได้อีก ทั้งพระองค์ไม่สามารถที่จะพาตัวของพระองค์ไปหาใครหรือสิ่งใดได้เลยตามใจปรารถนา
การถูกตรึงบนไม้กางเขนทำให้พระองค์ไม่เป็นอิสระ แต่ในเวลาเดียวกันก็ทรงเป็นอิสระจากทุกอย่าง
และนี่คือจิตวิญญาณของไม้กางเขน
ชีวิตคริสตชนต้องเป็นชีวิตที่ไม่เป็นอิสระ เพราะต้องถูกตรึงติดกับไม้กางเขน ดังที่เคยพูดและเขียนไว้หลายครั้งว่า ชีวิตคริสตชนคือชีวิตแห่งไม้กางเขน
อีกแง่มุมหนึ่งของการตรึงบนไม้กางเขนก็คือ การถูกยกขึ้นสูง ลอยอยู่ ไม่ติดดิน ความหมายของคำว่าไม่ติดดิน ไม่ได้แปลว่า เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ แต่ความหมายของคำว่าไม่ติดดิน คือ ชีวิตที่ลอยพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่าง
ชีวิตคริสตชนต้องเป็นชีวิตที่ลอยพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เกาะติดอยู่กับทั้งคน และ สิ่งของ ปลอดและเป็นอิสระจากความผูกพันทุกชนิด
ทางพุทธศาสนาเรียกว่า ชีวิตที่ปล่อยวางจากทุกสิ่ง
ชีวิตคริสตชนต้องเป็นอย่างนี้ และนี่คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงพยายามพร่ำสอน ตลอดชีวิตของพระองค์ จิตวิญญาณที่ยากจน “ผู้ใดมีใจยากจนย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา” (มัทธิว 5:13) ไม่มุ่ง ไม่หวัง ไม่ปรารถนา สิ่งใดเลย
พระเยซูเจ้าไม่ได้แค่สอนด้วยปากแต่ทรงแสดงให้ดูด้วยชีวิตจริงของพระองค์
การฟื้นฟูชีวิตคริสตชนจะต้องทำให้ได้ถึงจุดนี้ ชีวิตของเราจึงจะเหมือนกับชีวิตของพระเยซูเจ้า
ส่วนการฟื้นฟูพันธกิจก็ต้องทำแนวเดียวกับการฟื้นฟูชีวิตคริสตชน และพระวาจาที่จะนำมาอ้างอิงในการฟื้นฟูพันธกิจก็เป็นพระวาจาในแนวเดียวกัน คือ “และเมื่อเราจะถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน เราจะดึงดูดทุกคนเข้ามาหาเรา” (ยอห์น 12:32)
บุคคลที่จะปฏิบัติพันธกิจของพระเยซูเจ้าจะต้องเป็นบุคคลที่ถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน แนวคิดของการถูกยกขึ้นจากแผ่นดินเป็นแนวคิดเดียวกับที่กล่าวถึงข้างบน
เราไม่สามารถประกาศข่าวดี โดยใช้ชีวิตในความร่ำรวยหรูหรา ฟู่ฟ่า หรือใช้อุปกรณ์ เทคโนโลยีที่ทันสมัยนานาชนิด แม้มีสิ่งเหล่านี้ครบครันก็ใช่ว่าการประกาศข่าวดีจะได้ผลก็หาไม่
การประกาศข่าวดี หรือการปฏิบัติพันธกิจของพระเยซูเจ้าที่จะได้ผล และเกิดผล จะต้องมีพื้นฐานอยู่บนพระวาจา และคำสั่งของพระเยซูเจ้าดังที่กล่าวมาแล้ว
ประชาชนจะเลื่อมใสในตัวเรา และเข้ามาหาเรา และเชื่อในข่าวดีก็ต่อเมื่อ
“เราถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน”
งานของเรา 450 ปี 350 ปี ยังคงย่ำอยู่กับที่ด้วยประชากรคาทอลิกเพียง 2 แสนกว่า เพิ่มขึ้นปีละหยิบมือเดียว นั่นเป็นเพราะ “พวกเรายังไม่ถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน” หรือเปล่า?