คำสัญญาตามภาษามนุษย์
“ไม่มีวันที่เราจะละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อไปรับใช้เทพเจ้าอื่น….. เราด้วยจะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าของเรา”
“พระเจ้าข้า พวกเราจะไปหาใครเล่า พระองค์มีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร…..”
เป็น 2 ประโยคที่ยกขึ้นมาเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาเจ้าอาวาสในวันนี้
ประโยคแรกมาจากหนังสือโยชูวา ที่ประชาชนให้สัญญาอย่างหนักแน่น ต่อโยชูวา ว่าพวกตนจะไม่ละทิ้งพระยาห์เวห์ไปนับถือหรือกราบไหว้พระเจ้าอื่น
ส่วนประโยคที่สองมาจากพระวรสารนักบุญยอห์น ที่ซีโมนเปโตร พูดแทนเพื่อนๆอัครสาวกในลักษณะเดียวกันว่าพวกตนจะไม่ไปไหน ก็คือจะไม่ทิ้งพระเยซูเจ้า
ทั้ง 2 ข้อความเป็นคำสัญญาตามภาษามนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ที่ถ้าจะพูดสำนวนฝรั่งสำนวนหนึ่งก็คือ FAILED HUMANITY หรือในภาคภาษาไทยคือ มนุษย์ที่ล้มเหลว ดังนั้นคำสัญญาเหล่านั้นทั้งของประชาชนยิว และทั้งของซีโมนเปโตร เป็นคำสัญญาตามภาษามนุษย์ผู้ล้มเหลว คือเชื่อมั่นไม่ได้ วางใจไม่ได้
พวกยิวที่สัญญาว่า ไม่มีวันที่เราจะทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อไปรับใช้เทพเจ้าอื่น ประวัติศาสตร์ชนชาติอิสราเอลชี้ให้เราเห็นว่าชาวอิสราเอลหลังจากนั้น พอมีบ้านมีเมืองอยู่อย่างสุขสบายแล้ว พวกเขาก็เริ่มต้นละทิ้งพระยาห์เวห์ ผู้ที่พวกเขาให้สัญญาอย่างมั่นเหมาะว่าจะไม่ละทิ้งพระองค์ พวกเขาหันไปกราบไหว้พระอื่น รับวัฒนธรรมต่างชาติ ที่ในที่สุดได้ทำให้พวกเขาละทิ้งพระเป็นเจ้า และเป็นผลให้บ้านแตกสาแหรกขาด
ส่วนท่านนักบุญเปโตร ผู้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนอัครสาวกอื่นๆ ตอบพระเยซูเจ้าอย่างปากกล้าว่า “จะไม่ไปไหน” “จะไม่ทิ้งพระองค์” แต่แล้วหลังจากที่พระเยซูเจ้าถูกจับ และเปโตรตามไปด้อมๆมองๆ และสุดท้ายก็ปฏิเสธพระเยซูเจ้าถึง 3 ครั้ง
เปโตรเย่อหยิ่ง และเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ล้มเหลวเพราะพ่ายแพ้ต่อพลังปีศาจที่ครอบงำชีวิตของตนไว้
มนุษย์ถูกปีศาจครอบงำ ตั้งแต่ต้นของประวัติสาสตร์แห่งมนุษยชาติ ตั้งแต่อาดัมและเอวา ดังนั้นมนุษย์จึงต้องการผู้ที่จะมาช่วยไถ่กู้ให้รอดพ้น จากอำนาจมืดของปีศาจ และแม้ว่า มนุษย์จะได้รับการไก่กู้จากองค์พระผู้ไถ่แล้ว แต่ชีวิตของมนุษย์ก็ยังคงอยู่ภายใต้ร่มเงาของปีศาจอยู่ดี ตราบใดที่มนุษย์ยังคงมีชีวิตอยู่ในโลก มนุษย์ผู้ได้รับการไถ่กู้ก็ยังอยู่ภายใต้ร่มเงานั้น ก็คือ ไม่ปลอดภัย และถ้าไม่ระวังตัวมนุษย์ก็สามารถตกเป็นเหยื่อของปีศาจได้ทุกเวลา
แม้ว่าเราจะสัญญาต่อพระเจ้าต่างๆนาๆ ว่าเราจะซื่อสัตย์ต่อพระองค์ ไม่ทิ้งพระองค์ แต่เราก็ไม่สามารถวางใจในตัวเราเองได้เลย เราสามารถทรยศต่อพระได้ทุกเมื่อ และทุกเวลา
อีกประการหนึ่งที่เราไม่ควรลืมก็คือ ปีศาจแม้จะเป็นปีศาจ แต่พวกมันก็ฉลาดกว่ามนุษย์มากมายหลายร้อยเท่า นักบุญยอห์นเรียกปีศาจว่าพวกมันเป็น “บิดาแห่งการมุสา” (ยอห์น 8:44)
ขอยกคำสอนของพระศาสนจักร 2 ข้อมาเตือนใจพวกเราเกี่ยวกับ อิทธิพลของปีศาจที่มีต่อมนุษย์ผู้มีสภาวะอ่อนแอและเปราะบาง เพื่อเราจะได้ระวังตัวและไม่ตกเป็นเหยื่อของมัน
คำสอนนั้นเป็นคำสอนของพระศาสนจักร ในข้อที่ 394 และ 395
394 พระคัมภีร์ยืนยันอิทธิพลอันเป็นอันตรายร้ายแรงของเจ้าปีศาจ ซึ่งพระเยซูเจ้าตรัสว่า “มันเป็นผู้ฆ่าคนตั้งแต่ปฐมกาล” (ยน.8,44) และได้พยายามด้วยซ้ำที่จะล่อลวงพระเยซูเจ้าให้หันเหไปเสียจากพันธกิจที่พระองค์ทรงได้รับมาจากพระบิดา พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพื่อทรงทำลายกิจการของปีศาจ (1 ยน. 3,8) กิจการที่มีผลสืบเนื่องอย่างหนักหน่วงที่สุด ในบรรดากิจการของมันก็คือ การหลอกล่อด้วยถ้อยคำมุสา ซึ่งซักนำมนุษย์มิให้เชื่อฟังพระเจ้า
395 อย่างไรก็ตาม อานุภาพของซาตานก็ใช่ว่าไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นแค่สิ่งสร้าง มีอำนาจขึ้นมาก็เพราะมันเป็นจิตบริสุทธิ์ แต่มันก็ยังเป็นสิ่งสร้างอยู่เสมอ มันไม่สามารถยับยั้งการสถาปนาพระอาณาจักรของพระเจ้าให้สูงส่งขึ้นมา แม้ว่าซาตานจะปฏิบัติงานอยู่ในโลก เพราะความเคียดแค้นที่มีต่อพระเจ้า และอาณาจักรของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ และการกระทำของมันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อมนุษย์แต่ละคนและต่อสังคม ในวิสัยฝ่ายจิต และแม้กระทั่งในวิสัยฝ่ายกายภาพในทางอ้อมก็ตามที การกระทำนั้นก็ยังได้รับอนุญาตจากพระอารักขญาณของพระเจ้า ซึ่งคอยแนะแนวทางให้แก่ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และของโลกด้วยพลังและด้วยความอ่อนโยน การที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ปีศาจกระทำกิจกรรมได้นี้ นับเป็นธรรมล้ำลึกอันยิ่งใหญ่แต่ “เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง” (รม. 8,28)