“ปรีชาญาณของศิษย์พระคริสตเจ้า”
ข้าพเจ้าอธิษฐานขอความรอบรู้ แล้วพระเจ้าก็ประทาน ข้าพเจ้าวอนขอ แล้วจิตแห่งปรีชาญาณก็มาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าประมาณค่าปรีชาญาณเหนือกว่าคทาและราชบัลลังก์ ข้าพเจ้าคิดว่าทรัพย์สมบัติไม่มีค่าใดเลยเมื่อเปรียบกับปรีชาญาณ….. ข้าพเจ้ารักปรีชาญาณมากกว่าสุขภาพและความสวยงาม….. ทรัพย์สมบัติล้ำค่าอยู่ในมือของปรีชาญาณ (เทียบ ปชญ 7:7-11)
พระสงฆ์ท่านหนึ่ง แบ่งปันประสบการณ์ปรีชาญาณจากบทเรียนที่ได้จากการขี่จักรยาน ท่านแบ่งปันเรื่องวงล้อของจานล้อที่หมุนเป็นแกนให้กับวงล้อแต่ละวงนั้นจำเป็นต้องได้ “แรงส่งที่ผลักให้ไปข้างหน้า” จักรยานของเราจึงขับเคลื่อนไปข้างหน้าต่อไปได้ ยิ่งหากเป็นทางชันแล้วยิ่งต้องใส่แรงมากขึ้นตามไป จะย่ามใจพยายามเร่งสปีดให้เรา ก็ทำไม่ได้เพราะอาจจะเร่งได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่เราจะหมดพลังเสียก่อน คำแนะนำคือค่อยๆปั่นไปแล้วจะได้ระยะทาง
พลังที่ก่อให้เกิด “แรงส่งที่ผลักให้ไปข้างหน้า” สำหรับเราพี่น้องคริสตชน คือ พระเยซู คริสตเจ้า ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะเป็นต้นกำเนิดพลังงานที่แท้จริงของเรา และยิ่งกว่านั้นคุณพ่อยังบอกอีกว่า แม่พระเป็นดังหมวกกันกระแทกสำหรับชีวิตสงฆ์ของท่านในวันที่มีอันตราย และแน่นอนเป็นเครื่องป้องกันชีวิตคริสตชนของเราด้วย… และนี่คือปรีชาญาณของเราคริสตชน เป็นขุมทรัพย์ขุมพลังงานของเรา
“….. พระอาจารย์ผู้ทรงความดี ข้าพเจ้าต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร? …..พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเขาด้วยพระทัยเอ็นดู ตรัสกับเขาว่า ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” (เทียบ มก 10:17-30)
เวลาเราถามพระเยซูเจ้า…พระอาจารย์ เพื่อร้องขอคำแนะนำเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร เรากำลังขอพระปรีชาญาณจากพระองค์ เรากำลังขอการนำทิศทาง แสงสว่างส่องให้เห็นทางจากองค์พระจิตเจ้า ขอพระองค์มอบพระจิตของพระองค์ให้กับเรา
ปรีชาญาณของพระองค์ มิใช่สิ่งใดอื่น มันคือ “การมีพระองค์ในใจในชีวิตในการปฏิบัติ และเชื่อฟังเสียงของพระจิตเจ้านำทางเสมอ” ดำเนินชีวิตตามปกติให้ดี และพร้อมที่จะวางความต้องการของตัวเอง ตัดสละน้ำใจตน ฟังเสียงพระจิตเจ้า และติดตามเสียงเรียกของพระองค์.
“….. พระอาจารย์ผู้ทรงความดี ข้าพเจ้าต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร? …..พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเขาด้วยพระทัยเอ็นดู ตรัสกับเขาว่า ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” (เทียบ มก 10:17-30)