“ผู้ที่สามารถพบพระ”
“ในวันเหล่านั้นเมื่อทุกขเวทนาผ่านไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป ดวงจันทร์จะไม่ทอแสงดวงดาวจะตกจากท้องฟ้า และอานุภาพบนท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน เมื่อนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ เมื่อนั้น พระองค์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ไปรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรจากทั้งสี่ทิศ จากปลายแผ่นดินจนสุดขอบฟ้า” (มก13:24-27)
พระเยซูเจ้าพูดถึงความเจ็บปวด หายนะเหล่านี้ ว่าเรื่องเหล่านี้ต้องเกิดแน่นอน พระองค์มองเห็น และเมื่อพระองค์เห็นเห็นแต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงช่วยเหลือบรรเทาได้ พระองค์จึงเจ็บปวดที่ต้องทนดูเห็นผู้ที่พระองค์ทรงรักต้องทนทุกข์ทรมาน
พระเยซูเจ้ายังให้กำลังใจให้เรายังจดจ่อตั้งใจไม่ท้อใจรักษาความหวังต่อไป…ว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา พระองค์จะกลับมาแน่นอนเพื่อช่วยเราผู้วางใจในพระองค์
“ในวันเหล่านั้นเมื่อทุกขเวทนาผ่านไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป ดวงจันทร์จะไม่ทอแสงดวงดาวจะตกจากท้องฟ้า และอานุภาพบนท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน เมื่อนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ เมื่อนั้น พระองค์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ไปรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรจากทั้งสี่ทิศ จากปลายแผ่นดินจนสุดขอบฟ้า” (มก13:24-27)
ใครเล่าจะสามารถเห็นพระองค์ได้เมื่อพระองค์เสด็จมา เราทุกคนที่กล้าเผชิญความทุกข์ปัญหาหรืออุปสรรคชีวิตแล้วยังคงมีมานะ เดินผ่านพบเผชิญหน้าด้วยความหนักแน่นมั่นคงในความเชื่อ บุคคลเหล่านี้แหละจะสามารถพบกับพระองค์
ความทุกข์ความเจ็บปวดในชีวิตของเรา แน่นอนใครใครก็ไม่ชอบที่จะพบกับความทุกข์เจ็บปวด แต่หากเรามองต่างมุมกลับกลายเป็นขุมทรัพย์ช่วยเสริมความเชื่อของเราให้เข้มแข็ง เป็นหนทางให้เราได้ร่วมชีวิตกับพระเยซูแบกกางเขนร่วมกับพระองค์.