ชีวิตของพระเยซูเจ้าสอนมนุษย์ให้รู้จักดำเนินชีวิตเรียบง่าย
ลงมือเขียนบทสนทนาเจ้าอาวาสของสัปดาห์นี้ในวันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม อันเป็นช่วงเวลาสำคัญก่อนสมโภชรำลึกถึงการบังเกิดของพระเยซูเจ้า
การบังเกิดของพระเยซูเจ้าสอนอะไรเราบ้าง?
บทอัลเลลูยาก่อนบทพระวรสารของวันที่ 17 ธันวาคมมีใจความว่า
“ข้าแต่พระปรีชาญาณผู้เสด็จมาจากพระโอษฐ์พระผู้สูงสุด พระองค์ทรงจัดสรรพสิ่งอย่างเข้มแข็งและอ่อนโยนทั่วผืนพิภพ โปรดเสด็จมาสอนข้าพเจ้าทั้งหลายให้รู้จักหนทางชีวิตด้วยเถิด” ชัดเจนว่า
1. พระเยซูเจ้าเป็นองค์พระปรีชาญาณที่มาจากพระเจ้าพระบิดา
2. พระองค์เป็นผู้จัดระเบียบของโลกให้เรียบร้อยเข้าที่เข้าทางแบบนิ่มนวลและไม่ใช้ความรุนแรง
3. พระองค์เป็นผู้สอนมนุษย์ให้รู้จักดำเนินชีวิตในแนวทางของพระองค์
พระเยซูเจ้าเป็นองค์พระเป็นเจ้าที่มาจากพระบิดาแต่ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ดังนั้นพระองค์จึงเป็นองค์พระเจ้าแท้ และการมาเกิดเป็นมนุษย์ของพระองค์ก็ทำให้พระองค์ทรงเป็นมนุษย์แท้เช่นเดียวกัน และเพื่อยืนยันข้อนี้ พระวรสารของนักบุญมัทธิวในวันนี้ (17 ธันวาคม) จึงร่ายยาว บรรพบุรุษของพระเยซูเจ้า ตั้งต้นจากอับราฮัมจนถึงพระเยซูเจ้า
ในข้อ 3 ที่เราขอให้พระเยซูเจ้าทรงสอนเราให้รู้จักดำเนินชีวิต พระเยซูเจ้าทรงสอนเราด้วยชีวิตของพระองค์เองตั้งแต่เกิดจนตาย ทรงสอนทั้งด้วยคำสอนและแบบอย่างชีวิต
บทเรียนบทแรกที่ทรงสอนคือ การบังเกิด พระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้าแต่เลือกเกิดแบบต่ำๆ ถ้ำเลี้ยงสัตว์ คอกสัตว์ รางหญ้า บรรยากาศผู้มาเยี่ยมเยียนการบังเกิดของพระองค์คือ ชาวบ้านธรรมดาๆ ไม่มีความรู้ ไม่เด่นดังในสังคม ดังนั้นการเกิดของพระองค์ต่ำต้อยและติดดิน การเกิดคือการเริ่มต้นชีวิต คำสอนแรกของพระองค์คือ จงเริ่มต้นมีชีวิตในโลกอย่างเรียบง่าย และไม่ต้องเรื่องมาก
คำสอนที่ 2 ก็คือ เมื่อทรงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และใช้ชีวิตกับครอบครัวจนถึงอายุ 30 กับพ่อแม่ที่เป็นคนธรรมดา บิดาประกอบอาชีพเป็นกรรมกรช่างไม้ ส่วนแม่ก็เป็นหญิงชาวบ้านธรรมดา ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำ และที่น่าสังเกตคือ ครอบครัวนี้มิได้รวยขึ้นๆ แบบพวกเรา เรียกว่า จนเสมอต้นเสมอปลาย
ดังนั้นคำสอนที่ 2 จึงเป็นดังนี้ จงดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย และถือความสมถะ ยากจน
การดำเนินชีวิตของพวกเราเป็นการดำเนินชีวิตที่ต้องมีนั่นต้องมีนี่ คือมากเรื่องนั่นเอง พระเยซูทรงสอนบทเรียนแห่งความเรียบง่ายไม่มากเรื่องมากกว่า 2000 ปี แต่มนุษย์อ่านพระองค์ไม่ออก ความวุ่นวาย และปัญหาต่างๆจึงเกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ เพราะความมากเรื่องของมนุษย์และเป็นปัญหาที่แก้ไม่จบ เพราะมนุษย์ยิ่งวันยิ่งมากเรื่องขึ้นเรื่อยๆ
คำสอนสุดท้ายคือ คำสอนที่พระองค์ให้ไว้ตอนที่พระองค์ตาย ให้เราสังเกตการตายของพระเยซู พระองค์ตายบนไม้กางเขน และตายอย่างทรมาน การตายนี้เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ที่มากเรื่อง เพราะวิถีชีวิตและคำสอนของพระเยซูเจ้าเป็นคำสอนที่สอนคนให้มีชีวิตเรียบง่าย ไม่มากเรื่อง ไม่แสวงหา ไม่สะสม คำสอนเหล่านี้ไปขัดผลประโยชน์ของมนุษย์ที่มากเรื่องเหล่านั้น ผลก็คือพระเยซูเจ้าถูกจับฆ่า แต่ขอให้สังเกตการตายของพระองค์ พระองค์ตายบนไม้กางเขนโดยมีผ้าหุ้มกายเพียงผืนเดียว เช่นเดียวกับตอนที่เกิด พระองค์ก็มีผ้าพันกายเพียงผืนเดียว ทรงสอนว่าตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ แล้วเราจะเหน็ดเหนื่อยทุ่มเทชีวิตแสวงหาไปทำไม “ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน จงรับแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา…เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภารที่เราให้ท่านแบกก็เบา” (มัทธิว 11:28-30) คำสอนที่สอนให้เราละทิ้งวิถีของโลก และติดตามคำสอนแห่งความยากจนของพระเยซูเจ้า สุดท้ายอุโมงค์ฝังศพของพระองค์ก็เป็นอุโมงค์ที่คนอื่นมีเมตตายกให้พระองค์ พระเยซูทรงตายอย่างอนาถา
ทั้งหลายทั้งปวงคือ บทเรียนที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเรา และทรงสอนเรามากว่า 2000 ปี แต่มนุษย์หูไม่กระดิก ตามองไม่เห็นความจริง รวมทั้งใจก็ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ดังนั้นความวุ่นวายและปัญหายังคงจะเกิดในโลกอยู่ต่อๆไปไม่จบสิ้น